'เศรษฐา-พิชิต' รอดยาก... ถ้าไม่อยากให้รอด

'เศรษฐา-พิชิต' รอดยาก...  ถ้าไม่อยากให้รอด

คำร้องที่ 40 สว.ยื่นสอย พิชิต ชื่นบาน พ่วงด้วยนายกฯเศรษฐา เป็นเรื่องการเมืองและหวังผลทางการเมืองอย่างชัดเจนที่สุด

คำร้องที่ 40 สว.ยื่นสอย คุณพิชิต ชื่นบาน พ่วงด้วยนายกฯเศรษฐา เป็นเรื่องการเมืองและหวังผลทางการเมืองอย่างชัดเจนที่สุด

1.สว.ชุดรักษาการ แผลงฤทธิ์ให้ดู ฉะนั้นเมื่อยังต้องอยู่รักษาการอีกนาน ก็อย่ามองข้ามหัว ต้องเห็นหัวกันบ้าง

2.สว.กลุ่มนี้อาจเรียกได้ว่า “รวมการเฉพาะกิจ” เพราะมาจากหลากหลายกลุ่ม แต่นั่นยังไม่น่าสนใจเท่ากับเมื่อไล่ดูรายชื่อ (เท่าที่พอหาได้) แล้ว พบว่ามาจากทั้งสาย “ลุงป้อม” และสาย “ลุงตู่”

3.เหตุผลของการยื่นคำร้อง มองไกลถึง “ล้มกระดาน” เพราะถ้าจะเล่นงานเฉพาะเรื่องคุณสมบัติคุณพิชิต ไม่ต้องพ่วงชื่อนายกฯเศรษฐาเข้าไปด้วยก็ได้ เพราะจะว่าไปถ้าศาลตัดสินให้คุณพิชิตพ้นจากรัฐมนตรี นายกฯเศรษฐาก็สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่แล้ว แต่การยื่นแบบนี้ เท่ากับ “เอากันให้ถึงตาย”

4.สาเหตุที่ต้องการ “ล้มกระดาน” กล่าวกันว่าเป็นเพราะ สว.ไม่พอใจบทบาทของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ล้ำเส้นเกินไปในทุกเรื่อง

5.ในสายตาของ สว.กลุ่มนี้ และผู้สนับสนุน มองว่าสิ่งที่อดีตนายกฯได้รับ และแสดงออก ก็หนักพอแรงแล้ว แต่ยังมีโครงการ “พาน้องกลับบ้าน” ที่เปิดการแสดงอย่างโจ๋งครึ่ม แบบไม่เกรงใจใครด้วย

6.จากปรากฏการณ์ในข้อ 5 ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวของมวลชนสีส้มและกลุ่มสามนิ้วมีน้ำหนัก หลังการเสียชีวิตของ “บุ้ง เนติพร” จึงจำเป็นต้องตัดตอนให้จบเพียงแค่นี้

7.หากปล่อยให้รัฐบาลนี้ไปต่อ จะมีแต่ความเสียหายตามมามากขึ้น ทั้งดิจิทัล วอลเล็ต การทูตต่างประเทศแบบ Informal ซึ่งน่าจะล้มเหลวแน่นอนแล้ว และไม่ได้เหมาะสมกับโลกยุคปัจจุบัน ทั้งกรณีเมียนมา และปัญหาชายแดนใต้

8.จากการพูดคุยกับ สว.ที่ลงชื่อยื่นคำร้อง แต่ละคนออกตัวปฏิเสธว่า “ไม่มีใบสั่ง” โดยพูดบ่อย และพูดโดยไม่ได้ถามอย่างน่าสงสัย จนพาลให้คนฟังคิดตรงข้ามกับที่ สว.พูด

มองตามหน้ากระดานการเมือง น่าเชื่อว่า สว.กลุ่มนี้เห็นว่าอดีตนายกฯควร “หมดโปร” ได้แล้ว และหากมี “มหาดีล” กันจริง ก็น่าจะถึงเวลา “หักดีล” ได้แล้ว

ที่สำคัญต้องรีบหักก่อนจะเป็นฝ่ายถูกหักเสียเอง!!

เมื่อลองไล่ตรวจสอบคำร้อง และหลักฐานที่อ้างประกอบคำร้องของบรรดา สว. ต้องบอกว่า มีน้ำหนักไม่น้อยเลย

โดยในส่วนของคุณพิชิต จุดตายอยู่ที่คุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 มีระบุเอาไว้ นับแบบง่ายๆ คือ 8 ข้อ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของคุณพิชิตโดยตรง 4 ข้อ คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความไปแล้ว 2 ข้อ ยังเหลืออีก 2 ข้อที่ยังไม่ได้ตีความ เพราะรัฐบาลไม่ได้ถามไป

ก็คือ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กับไม่ประพฤติฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม

หลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาที่นำมาอ้างอิง คือ คำสั่งจำคุกในคดีละเมิดอำนาจศาลที่เกี่ยวข้องกับกรณี “ถุงขนม 2 ล้าน” อันลือลั่น และการถูกลบชื่อจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ของสภาทนายความ

ส่วนจุดตายของนายกฯ คือ คำถามเรื่องคุณสมบัติที่ถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา เหตุใดจึงถามแค่ 2 ข้อ ทั้งๆ ที่ปัญหาที่สงสัยได้มี 4 ข้อ จึงเกิดคำถามว่าจงใจใช้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็น “ตรายาง” หรือเปล่า

และที่สำคัญคือ หนังสือท้วงติงของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบคุณสมบัติและการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งปรากฏว่ามีการท้วงติงหลายครั้งอย่างชัดแจ้ง แต่ไม่ยอมฟัง

ทั้งหมดนี้คนที่เห็นหลักฐานบอกตรงกันว่า “รอดยาก”

ยิ่งย้อนดูธงของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระยุคปัจจุบันแล้ว ทุกอย่างยิ่งมืดมน

แต่ “ช่องรอด” ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาเสียเลย เพราะการตีความกฎหมายบ้านเราดิ้นได้ทุกแง่มุม คนเคยถูกจับคดียาเสพติดในต่างประเทศ ยังวินิจฉัยให้อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีได้มาแล้ว

กรณีคุณพิชิตก็เช่นกัน ถ้าฟังข้อมูลจากฝั่งคุณพิชิต ก็มีหลายเรื่องที่ตีความให้เข้าทางตัวเองได้

เช่น ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์วัดจากตรงไหน มาตรวัดคืออะไร ถ้ามาตรวัดคือกฎหมายและผลของคดี ก็ต้องยอมรับว่า “คดีถุงขนม 2 ล้าน” เมื่อเป็นคดีอาญาในเรื่องของการเสนอสินบน อัยการมีคำสั่งเด็ดขาด “ไม่ฟ้อง” จึงไม่ใช่เรื่องกฎหมายเอาผิดไม่ได้ หรือยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

ที่สำคัญ เนื้อหาบางส่วนในคำสั่งให้จำคุก ตัวคุณพิชิตก็อ้างว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุขณะมีกรณีมอบ “ถุงขนม 2 ล้าน” และคำสั่งให้จำคุกก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งเป็นบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่ใช่อาญา

ส่วนเรื่องถูกลบชื่อจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ก็ไม่แน่ว่าสิ้นผลไปแล้วหรือยัง หากคุณพิชิตยื่นขอขึ้นทะเบียนใหม่ แล้วได้ขึ้นทะเบียน ข้อเท็จจริงจะเปลี่ยนไปอย่างไร (แตกต่างจากกรณีของอดีต สส.บางคนที่ครอบครองที่ดินผิดกฎหมายตั้งแต่ก่อนเป็น สส. กระทั่งเป็น สส.แล้วก็ไม่คิดแก้ไข จึงเข้าข่ายมาตรฐานจริยธรรม)

ขณะที่การไต่สวนเรื่องมาตรฐานจริยธรรม เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ส่งต่อศาลฎีกา ต้องไปตั้งต้นให้ถูกช่องทางก่อนหรือไม่

นี่คือช่องรอดของคุณพิชิต ซึ่งถ้าคุณพิชิตรอด นายกฯเศรษฐาก็ลอยลำไปด้วย

เมื่อการตีความกฎหมาย “ดิ้นได้” ผลของคดีจึงอาจไม่ใช่ “เนื้อแท้ของกฎหมาย” แต่อาจกลายเป็น “มหาดีล” ที่พูดกันกระหึ่มประเทศก็ได้ว่า มีจริงและยังไม่สิ้นผลใช่หรือไม่

เพราะการที่อดีตนายกฯแสดงตนว่าคือความถูกต้อง และใหญ่คับประเทศ หากไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง หรือคิดเองทำเองเพื่อความสะใจ แต่ได้สัญญาณ “ตรง-แรง-ชัด” มาจริงๆ คดีคุณพิชิตและนายกฯเศรษฐา จะเป็นบทพิสูจน์ที่ดี ว่างานนี้...ใครของแทร่!?!