สุชัชวีร์ ซัดรัฐบาลปล่อยชาวบ้านอยู่กับนรกบนดิน ปมไฟไหม้โรงงานวินโพรเสส
"สุชัชวีร์" ซัดรัฐบาลไม่แก้ปัญหา หลังครบ 1 เดือนเต็ม ไฟไหม้โรงงานวินโพรเสส ปล่อยให้ชาวบ้านอยู่กับนรกบนดิน
เมื่อวันที่ 22 พ.ค.นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกทม.โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังครบ 1 เดือนเต็มเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานหนองพะวา รัฐบาลยังปล่อยให้ชาวบ้านอยู่กับนรกบนดินแบบนี้ต่อไปหรือ ระบุว่า
จากวันที่ 22 เมษายน ถึง วันนี้ 22 พฤษภาคม ครบ 1 เดือนเต็ม เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม วินโพรเสส ที่หนองพะวา จ.ระยอง ทุกวันนี้ชาวชุมชนยังต้องทนอยู่กับความเลวร้ายอย่างไม่มีทางเลือก จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานเก็บสารเคมีที่ดูเหมือนอุบัติภัยธรรมดาๆ แต่เมื่อขุดคุ้ยลงไป นี่คือ "เพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง" ของปัญหาการพัฒนาอุตสาหกรรมและความฉ้อฉลของระบบราชการอย่างครบทุกรูปแบบ
นายสุชัชวีร์ ระบุว่า ไล่เรียงมาตั้งแต่ที่มาของโรงงานที่นายทุนพยายามขอตั้งเป็นโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม แต่ชาวบ้านไม่ยินยอม ต้องผ่านการต่อสู้นับสิบปี ก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตอย่างน่าฉงน จากนั้น โรงงานแห่งนี้ คือ นรกของแท้สำหรับชุมชนหนองพะวา มีการนำกากอุตสาหกรรมอันตราย เช่น อลูมิเนียม ดรอส โซเว้นท์ และอื่นๆอีกมาก มากองทิ้งไว้โดยไม่คิดจะกำจัดจริงแต่อย่างใด และเมื่อถูกตรวจสอบหนักเข้าก็ขอยกเลิกกิจการ ทิ้งภาระปัญหามลพิษไว้ให้ชาวชุมชนอย่างเลือดเย็น เท่านั้นยังไม่พอ การกระทำอีกหลายอย่าง กลายเป็นเรื่อง “บังเอิญ”อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเรื่องมีคำสั่งให้รวบรวมกากอุตสาหกรรมและสารเคมีที่วางทิ้งเกลื่อนกลาด ให้เข้ามาเก็บไว้ในโกดังรวมกันทั้งหมด ก่อนที่จะเกิดเหตุ “เพลิงไหม้” ในวันเดียวกันกับที่อธิบดีกรมโรงงาน ที่ต่อสู้กับเรื่องนี้มาตลอด บินไปราชการที่ญี่ปุ่น ”พอดี“
“ยังไม่นับความ ”บังเอิญ“ ที่โรงงานกำจัดกากอีกแห่งที่มีผู้บริหารคนเดียวกัน เกิดเหตุเพลิงไหม้ซ้ำเป็นครั้งที่สอง ทั้งๆที่เพิ่งไหม้ไปไม่นาน และพบหลักฐานทางคดีชัดเจนว่าเป็นการลอบวางเพลิง ความหวังของชาวหนองพะวา ได้รับการจุดให้สว่างขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะไปดูงานเรื่อง ”ทุเรียน“ ที่จันทบุรี ได้เพิ่มกำหนดการแวะที่โรงงานวิโพรเสสด้วย แต่ความหวังนี้ก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อชาวชุมชนพบว่า นายกฯมีเวลาให้กับหายนะระดับเชอร์โนบิลนี้ แค่ครึ่งชั่วโมง และเป็นครึ่งชั่วโมงที่ไม่มีการรับฟังชาวบ้านผู้เดือดร้อนตัวจริงอยู่ร่วมในกำหนดการนี้ มีแต่การไปตำหนิ อธิบดี ที่ไปราชการต่างประเทศในวันที่เกิดเหตุไฟไหม้ และการกดดันอีกหลายรูปแบบ จนสุดท้าย ข้าราชการตงฉินท่านนึง ต้องเลือกวิธีลาออกเพื่อหนีขวากหนามนี้ไปเอง”นายสุชัชวีร์ ระบุ
นายสุชัชวีร์ ระบุอีกว่า หลังจากผ่านไปถึง 1 เดือนที่ชาวชุมชนต้องทนสูดอากาศที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง กว่าที่ระบบราชการจะขยับ เรื่มหาผู้รับงานขนกากพิษในโรงงานออกไปบำบัด ที่ต้องปล่อยให้ชาวบ้านอยู่กับมลพิษนานนับเดือนด้วยเหตุผลเดียวคือ รัฐบาลไม่จัดสรรงบในการขนย้ายให้ และเมื่อเริ่มขนย้ายอลูมิเนียมดรอส ออกจากหนองพะวา ผลจากการ ”กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด“ ก็ส่งผลทันที เพราะเมื่อจุดหมายปลายทางของกากอลูมิเนียมดรอส ที่ขนออกจากโรงงาน ไม่ได้ไปไหนไกล แต่ไปกองรวมไว้ที่โรงงานใน จ. ชลบุรี ทำให้เกิดม็อบชาวบ้านออกมาขัดขวางอย่างรวดเร็ว จนต้องรีบขนกลับระยอง ซึ่งก็ถูกกลุ่มชาวหนองพะวาที่เพิ่งดีใจได้ไม่นาน ออกมาขัดขวางไม่ต้องการให้กากพิษกลับมาอยู่ข้างบ้านอีก
“เรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ เกิดจากการ "ฉ้อฉล" ทางการเมือง ระบบราชการที่ทั้งออกกฎหมายเอื้อให้เกิดอุตสาหกรรมพิษแลกกับตัวเลขความเจริญทางเศรษฐกิจโดยไม่สนใจความทุกข์ของประชาชน และข้าราชการที่ไร้จิตสำนึก เปิดช่องให้นายทุนสีเทาลอยนวลอยู่ได้ มีเพียงประชาชนเท่านั้นที่ลุกขึ้นมาสู้เพื่อลูกหลานของตัวเอง ทางแก้ที่ยั่งยืนของเรื่องนี้ ต้องอาศัยภาคการเมืองครับ เพื่อใช้อำนาจในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เปิดช่องให้โรงงานอย่างหนองพะวาเกิดขึ้นได้ และต้องใช้อำนาจทางการเมืองในการบริหารระบบราชการไม่ให้คอยช่วยเหลือธุรกิจสีเทาด้วยการพลิกแพลงข้อกฎหมายแบบที่ทำมาได้อีก และที่สำคัญ สังคมต้องไม่ลืมกรณีนึ้ “ไฟไหม้โรงงานหนองพะวา เผยให้เห็นถึงความสุดยอดของความฉ้อฉลในสังคมไทย” เราต้องช่วยกันทำให้ความดำมืดนี้กระจ่าง กระตุ้นให้ไม่ลืม เพื่อไม่ให้โรงงานนรกแบบหนองพะวาเกิดขึ้นอีก“นายสุชัชวีร์ ระบุ