โลกคู่ขนาน ของรัฐบาลเพื่อไทย กับ 'ทักษิณ'
การปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ในอภิมหางานบวชที่ธัญบุรี ปทุมธานี ถอดรหัสได้ 2 มุม และทำให้เห็นโลกคู่ขนานที่รัฐบาล "เพื่อไทย" และ "ทักษิณ" ต้องเผชิญ
KEY
POINTS
-
ประเด็นคดี ม.112 ทักษิณประกาศว่าไปรับทราบ “คำสั่งฟ้อง” วันที่ 18 มิ.ย.67 มั่นใจว่าคดีไม่มีอะไร
-
ใช้วิธียื่นขอความเป็นธรรม และพยานหลักฐานใหม่ที่อ้างว่ามีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้
-
“การเมืองระดับชาติ” น่าจะมีการปรับ ครม.อีกครั้ง และเขี่ย “ลุง” หรือ “ตัวแทนลุง” พ้นจากรัฐบาล
-
ในเลเยอร์ “คดีเศรษฐา” มั่นใจชนะคดี โดยอ้างเหตุ “40 สว.” ไม่มีสิทธิเข้าชื่อยื่นคำร้อง เพราะเป็น “สว.รักษาการ”
-
“สนามท้องถิ่นเมืองปทุมฯ” ทักษิณหวังโค่น “บิ๊กแจ๊ส” ในศึกชิงเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี เพราะแค้นที่ไปฝักใฝ่ก้าวไกล และภูมิใจไทย
การปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ในอภิมหางานบวชของ “ลูกชายนายกเบี้ยว” ที่ธัญบุรี ปทุมธานี ถอดรหัสได้ 2 มุม และทำให้เห็นโลกคู่ขนานที่รัฐบาลเพื่อไทย และคุณทักษิณต้องเผชิญ
เริ่มจากประเด็นคดี ม.112
1.คุณทักษิณประกาศว่าไปรับทราบ “คำสั่งฟ้อง” แน่นอนวันที่ 18 มิ.ย.67 มั่นใจว่าคดีไม่มีอะไร
- ถ้าไม่ใช่ “ลับลวงพราง” ย่อมแปลว่า “รีวิวดีล” เรียบร้อยแล้ว
- เตรียมหาช่องรอดทางกฎหมาย ด้วยการยื่นขอความเป็นธรรมเพิ่มเติมไปยังอัยการสูงสุด ว่าการสอบสวนคดีกระทำมาโดยมิชอบ มีการข่มขู่พนักงานสอบสวน (ตามที่ให้สัมภาษณ์เปิดทางเอาไว้)
- อาจมีพยานหลักฐานใหม่ส่งให้อัยการสูงสุดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเนื้อหาคลิปฉบับเต็มที่เคยให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี เพื่อยืนยันว่าไม่ได้พูดพาดพิงสถาบัน ไม่ได้แสดงความอาฆาตมาดร้ายสถาบัน ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
เพราะองค์ประกอบความผิดของมาตรา 112 ประกอบด้วย การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่าง ได้แก่ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย โดยต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น กลุ่มที่เรียกว่า Palace circle ไม่น่าจะเข้าข่าย
2.ใช้วิธียื่นขอความเป็นธรรม และพยานหลักฐานใหม่ที่อ้างว่ามีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ เพื่อให้อัยการสูงสุดสั่งเลื่อนคดีอีกรอบ
3.เชื่อว่าไม่น่าจะได้เห็นภาพอดีตนายกฯ ถูกนำตัวไปที่ศาลอาญา แล้วต้องยื่นประกันตัว
ส่วนประเด็นการเมือง ต้องแยกเป็นหลายมิติ หลายเลเยอร์ เริ่มจาก “การเมืองระดับชาติ”
- รัฐบาลผ่านวิกฤติคุณเศรษฐารอบนี้ (กรณี 40 สว.ยื่นสอย) น่าจะมีการปรับ ครม.อีกครั้ง และเขี่ย “ลุง” หรือ “ตัวแทนลุง” พ้นจากรัฐบาล
- มีแนวโน้มปลด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จากตำแหน่งรัฐมนตรี และเปิดทาง “ผู้กองธรรมนัส” ยึดพรรคพลังประชารัฐ แล้วร่วมรัฐบาลต่อไป
สิ่งที่เพื่อไทยจะได้ประโยชน์กลับมา ก็คือ การล้างภาพ “ลุง” ออกจากรัฐบาล และเคลมได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ “ไม่มีลุง” และที่ผ่านมาแค่อาศัย “ลุง” เพื่อเข้าสู่อำนาจ แต่ไม่ได้ตั้งใจไปจับมือกับ “ลุง”
- ตำแหน่งรัฐมนตรียังว่างอยู่เดิม 1 ตำแหน่ง คือ รมช.คลัง (โควตารัฐมนตรีช่วย ถ้าตั้งใหม่ไม่จำเป็นต้องตั้งที่กระทรวงการคลัง) และว่างใหม่ 1 คน 2 ตำแหน่ง คือ รองนายกฯ ควบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตั้งใหม่ได้แค่ 1 คน จะควบหรือไม่ควบก็ได้)
- มีแนวโน้มดึง สส.ประชาธิปัตย์ 21 เสียงเข้ามาเสียบแทน เพื่อเสริมแกร่งรัฐบาล เสียงสนับสนุนเพิ่มเป็นราวๆ 335 เสียง และเจียดโควตารัฐมนตรี “1 ว่าการ + 1 ช่วยว่าการ” พอดีกับตำแหน่งที่ว่าง
ดีลกับประชาธิปัตย์เพื่อดึง 21 เสียง ไม่รวมกลุ่ม “นายหัวชวน” เข้าร่วมรัฐบาลนั้น คุยกันจบนานแล้ว โดยอดีตนายกฯ ทักษิณ คุยกับ “นายกชาย” เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง เพราะสนิทชิดเชื้อกัน นายกชายเคยลง สส.ให้กับพรรคชินวัตร มาก่อน
แผนการนี้สื่อไม่ได้คิดเอง แต่เป็นแนวคิดที่อดีตนายกฯ เคยพูดจริงๆ กับคนใกล้ชิด ว่าจะเดินเกมการเมืองแบบนี้ สอดคล้องกับจังหวะก้าวทางการเมืองในปัจจุบันพอดี
ส่วนการเมืองในเลเยอร์ของ “คดีคุณเศรษฐา”
- มั่นใจว่าจะชนะคดีแน่ ศาลรัฐธรรมนูญน่าจะยกคำร้องโดยอ้างเหตุ “40 สว.” ไม่มีสิทธิเข้าชื่อยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯ สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี เพราะเป็น “สว.รักษาการ”
รัฐธรรมนูญ มาตรา 109 อนุญาตให้ สว.ที่หมดวาระแล้ว “ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป” ความหมายคือ ทำได้เฉพาะ “หน้าที่” ที่ระบุชัดในรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย แต่การเข้าชื่อยื่นถอดถอน หรือตรวจสอบคุณสมบัติ หรือสมาชิกภาพของ สส. สว. และรัฐมนตรี เป็น “การใช้สิทธิ” ไม่ใช่ “ทำหน้าที่” ซึ่ง “สิทธิ” จะมีได้เมื่ออยู่ในตำแหน่งจริงๆ ไม่ใช่รักษาการ
แนวทางนี้เป็นแนวทางหลักที่ “ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย” ใช้ต่อสู้คดี และมั่นใจจะ “ชนะฟาวล์” เพราะเมื่อ “40 สว.” ไม่มีสิทธิเข้าชื่อยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีโอกาสที่ศาลจะยกคำร้องโดยไม่ต้องพิจารณาเนื้อหาของคดี หรือการกระทำของนายกฯ เศรษฐาเลย
ฟังจากคำสัมภาษณ์ผ่านๆ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ เมื่อวันเสาร์ ที่ธัญบุรี ถอดรหัสได้ว่าเชื่อตามแนวทางนี้ และก็น่าจะมีโอกาสรอดจริงๆ ด้วย
ขณะที่การเมืองในเลเยอร์ของ “สนามท้องถิ่นเมืองปทุมฯ” คุณทักษิณหวังโค่น “บิ๊กแจ๊ส” ให้พ่ายแพ้ในศึกชิงเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี เพราะแค้นที่ “บิ๊กแจ๊ส” เอาใจออกห่าง ไปฝักใฝ่ “ด้อมส้ม” อย่างก้าวไกล และ “ค่ายสีน้ำเงิน” อย่างภูมิใจไทย
ข้อมูลเชิงลึกคือ “บิ๊กแจ๊ส” มีปัญหาขัดแย้งอย่างรุนแรงกับ “เจ๊ ด.” คนใกล้ชิดอดีตนายกฯ เรื่องการจัดตัวผู้สมัคร สส.ในการเลือกตั้งปี 66 และมีปัญหาระหองระแหงกันมาตลอดช่วงก่อนหน้านั้นด้วย กระทั่งถึงจุดแตกหัก
งานนี้อดีตนายกฯ ไม่ทิ้งโอกาสเช็กเรตติ้ง และเรียกคืนหัวคะแนน กับมวลชนรากหญ้าในพื้นที่ต่างๆ เริ่มจากเชียงใหม่ ต่อด้วยปทุมธานี โดยใช้สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ให้เป็นประโยชน์
นี่คือ การถอดรหัสในมุมที่เป็นบวกกับอดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย แต่หากเรื่องราวกลับตาลปัตร ก็จะเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้าม นั่นก็คือ อัยการสูงสุดยืนยันความเห็นสั่งฟ้อง ไม่รับคำร้องขอความเป็นธรรมเพิ่ม เพราะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ และอาจมีเจตนาประวิงเวลา
ที่สำคัญคดีคุณเศรษฐาก็อาจจะจบไม่สวย!
ถ้าเป็นแบบนั้น สิ่งที่แสดงที่ธัญบุรีย่อมเป็นเรื่อง “ลับลวงพราง” หรือ “ภาพลวงตา” แต่ความจริงก็คือ จะยังได้เห็นอดีตนายกฯ ปรากฏตัวในเมืองไทยอีกหรือไม่ ต้องรอติดตาม
ส่วนวันที่ 18 มิ.ย.จะออกหน้าไหน ต้องลุ้นกันด้วยใจระทึก และยังนึกไม่ออกว่าการเมืองจะพลิกเปลี่ยนไปอย่างไร
ส่วนตัวเคยได้ยินเสียงพูดคุยเล็ดลอดมาจากในรั้วพรรคเพื่อไทย มีแนวทางจังหวะยุบสภาใกล้ๆ กับช่วงที่พรรคก้าวไกลถูกยุบ จะทำให้คู่แข่งสำคัญหาพรรคใหม่ลงไม่ทัน และเพื่อไทยก็จะกวาดชัยชนะ กลับมาตั้งรัฐบาลใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม และคุมกระทรวงสำคัญ ไม่แบ่งใครเหมือนปัจจุบัน
แต่นั่น! หมายความว่าศาลต้องกำหนดนัดอย่างเป็นใจคือ ต้องวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ก่อนคดีคุณเศรษฐาเท่านั้น...