4 คดี โยงเกม ‘ชิงอำนาจ’ ชี้ชะตาการเมือง ‘คนบ้านป่า’
18 มิ.ย.67 มี 4 คดีทางการเมือง ต้องติดตาม เพราะมีผลเชื่อมโยง ถึง "สมการการเมือง" แบบโดมิโน เมื่อถอดรหัสของเรื่องแล้วพบว่า มีความเป็นไปได้ที่ "คนในบ้าน" จะอยู่เบื้องหลัง หวังผลชิงคืนอำนาจการเมือง
KEY
POINTS
Key Point :
- 18 มิ.ย.67 เป็นวาระที่ "หลายคดีการเมือง" ถูกพิพากษา โดย ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีแรงเขย่าสมการการเมืองได้
- ทั้งคดี ส่งฟ้อง "ทักษิณ" ผิด ม.112 ถอดถอนเศรษฐา ยุบพรรคก้าวไกล และล้มกระดานเลือก สว.
- คดีที่ว่า แม้ต่างกรรมต่างวาระ แต่มีจุดเริ่มต้น และปลายทางที่ตรงกันคือ คนบ้านป่า-ขั้วอนุรักษ์ ต้องการชิงบัลลังก์การเมืองคืน
ปฏิทินการเมืองหน้าฝน เดือนมิถุนายน แต่สถานการณ์กลับยังร้อนระอุ เหตุมีคดีที่เกี่ยวเนื่องกับ “การเมือง” และ “คีย์แมนทางการเมือง” รอการพิจารณา และบางคดี รอลุ้นว่าจะตัดสินอย่างไร
คดีแรก คือ กรณีที่อัยการสูงสุด สั่งฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ในข้อหาผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวันที่ 18 มิ.ย.67 นี้ มีนัดส่งฟ้อง
“ทักษิณ” เอง เอ่ยปากบอกว่า จะเดินทางไปด้วยตนเอง เพราะเชื่อมั่นว่า “เป็นคดีที่ไม่มีอะไร และเป็นการใส่ร้าย ยัดข้อกล่าวหา”
คดีสอง คือ การตัดสินของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ใน 4 มาตรา คือ มาตรา 36 มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42 นั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 107 หรือไม่
คดีที่สาม คือ การนัดพิจารณาคำร้อง “ยุบพรรคก้าวไกล” ข้อหามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง และเข้าข่ายลักษณะการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
คดีที่สี่ คือ นัดพิจารณา คดีที่ 40 สว. ยื่นถอด “เศรษฐา ทวีสิน” ออกจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยเหตุการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่เป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
ทั้ง 4 คดีมีผลทำให้เกิดแรงเขย่าทางการเมืองแบบ “โดมิโน” เพราะคดีที่ “สาระ” ดูเหมือนไม่เกี่ยวกัน แต่เมื่อมองจากมิติของการเมืองพบว่าเป็นผลเกี่ยวเนื่อง และเชื่อมโยงถึงการชิงอำนาจทางการเมือง ที่อาจส่งผลถึงการ “เปลี่ยนขั้ว” ให้ “คนบ้านป่า” และ “เครือข่าย” ยืนผงาดให้สปอตไลต์ฉายแสงส่องได้อีก
โดย 3 คดี จาก 4 คดี ที่รอชี้ชะตาวันเดียวกันนั้น มี “คนของขั้วอนุรักษนิยม-ขั้วอำนาจเก่า” เดินเกมกับคดีตัดสิน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 และคดียื่นยุบพรรคก้าวไกล มี “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ทนายความอิสระ เป็นผู้ยื่นเรื่อง ตามโปรไฟล์ระบุว่า เป็นทนายความของ พระพุทธะอิสระ หรือ “สุวิทย์ ทองประเสริฐ” และเคยว่าความให้กับ “ปารีณา ไกรคุปต์” อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ
ทว่าในทางการเมือง เขาเคยร่วมก่อตั้งพรรค “ประชาชนปฏิรูป” ที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เป็นอดีตหัวหน้าพรรค ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มี “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” เป็นหัวหน้าพรรค
ส่วนคดีถอดถอน “เศรษฐา” นั้น มีก๊วน 40 สว. นำโดย “พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ - พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ - มหรรณพ เดชวิทักษ์ - สมชาย แสวงการ” เป็นผู้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
โดย “ก๊วน 40 สว.” นั้น หน้าตาล้วนบอกยี่ห้อ ว่ามาจาก “ขั้วอำนาจเก่า” เพราะมีกระบวนการรับตำแหน่ง จากการแต่งตั้งโดย “คสช.” ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อ “ขั้วอำนาจเก่า” เดินเกม ทำให้เชื่อได้ว่าหวังผล “ชนะกินรวบ”ในเกมการเมืองครั้งนี้
อย่างในกรณีของ “การยื่นให้ชี้ขาด พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.” ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 ว่าด้วยที่มาของ สว. หรือไม่
ผลที่หวังไว้คือ การล้มกระดานการเลือก สว.2567 เพราะหากในพยาน และหลักฐานที่ “ผู้ร้อง” ยื่นแสดง ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า “เป็นปัจจัยที่ทำให้การเลือกไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ” ที่ต้องการให้เกิดสุจริต สิ่งที่เป็นผลตามมาคือ ใน 4 มาตราที่ยื่นนั้น ถือว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ
ลำพังจะตัด 4 มาตรานั้น ออกจากการปฏิบัติ และเดินหน้าเลือก สว.ต่อ ไม่สามารถทำได้ เพราะผลของ 4 มาตราเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการเลือก สว. โดยตรง และเกี่ยวกับระเบียบของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ออกมาใช้กับการเลือก สว.รอบนี้
“เมื่อกฎหมายลูกขัดกับกฎหมายแม่ จึงทำให้ระเบียบของ กกต.ที่ออกตามกฎหมายลูกนั้นไม่ชอบ อาจมีเหตุ และผลเพียงพอที่จะต้องแก้กฎหมายลูกให้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญก่อน จากนั้น กกต.จึงออกระเบียบตามมา ส่วนการเลือก สว.ที่ทำมา อาจต้องเลิกไปก่อน เพราะกระบวนการเลือกที่ผ่านมา เป็นไปตามระเบียบ กกต. ซึ่งออกตามกฎหมายลูกที่ขัดหรือแย้ง” ธีรยุทธ สุวรรณเกษร เปรยในมุมมองส่วนตัว
พร้อมย้ำว่าเป็นแค่การคาดการณ์ ซึ่งไม่ขอก้าวล่วงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาในวันที่ 18 มิ.ย.67 นี้
ทว่า หากเป็นไปตามมุมมองของ “ทนายธีรยุทธ” ปฏิเสธไม่ได้ว่า จะทำให้ “สว.ที่มาจาก คสช.” นั้น “อยู่ยาว” เป็นคานงัดอำนาจกับ “รัฐบาลเพื่อไทย - ทักษิณ”
ขณะที่เกมยุบพรรคก้าวไกล ที่เป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในนาทีนี้ “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรค ยังมั่นใจว่า มีจังหวะยื้อเวลา เพื่อ “อยู่รอด”
แต่เมื่อเกมชิงอำนาจที่ดุเดือด “พรรคก้าวไกล” อาจต้องถูกสังเวยในเกม เพื่อหวังให้ “บางพรรค” ได้แต้มจากการ “เก็บตก สส.ก้าวไกล” ที่ย้ายหลังพรรคถูกยุบ
โดยขณะนี้ มี “สส.ก้าวไกล” ที่ไม่หวังอยู่ยาวในเส้นทางการเมือง เดินเข้าบ้านป่า เพื่อแสดงเจตนาบ้างแล้ว
ส่วนประเด็นคดี “เศรษฐา” รอบนี้ถูกใช้เป็น “ตัวประกัน” ที่สอดรับกับคดี “ทักษิณ” ผิดมาตรา 112 เพื่อหวังสกัดการเคลื่อนไหวของ “นายใหญ่” ที่มีบทบาท “ฝ่ายรุก” ทั้งในเกมฮุบสภาสูง เพื่อหวังกินรวบทั้ง “ฝ่ายนิติบัญญัติ” และ “บริหาร”
ดังนั้นในช่วงฤดูฝน ที่ปกติต้องมีความชุ่มฉ่ำ กลับร้อนระอุ ด้วยไฟทางการเมืองของ “คนการเมือง” ที่ตั้งแท่น ชิงคืน “อำนาจการเมือง” โดยไม่สนใจ “ประชาชน” ที่นั่งตากฝนมองด้วยความสิ้นหวัง.
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์