'พิธา' เหน็บนายกฯเทียบไทยเป็นเฟอร์รารี่ 'ก้าวไกล' ขอเป็นรถเมล์ไฟฟ้าดีกว่า

'พิธา' เหน็บนายกฯเทียบไทยเป็นเฟอร์รารี่ 'ก้าวไกล' ขอเป็นรถเมล์ไฟฟ้าดีกว่า

'พิธา' ชี้ปลดล็อกศักยภาพอุดร-อีสานเริ่มที่ปลดล็อกที่ดิน-ระบบชลประทาน เหน็บ 'เศรษฐา' เทียบไทยเป็นเฟอรารี่ แต่อย่าลืมคันละ 30 ล้าน นั่งได้แค่สองคน 'ก้าวไกล' ขอเป็นรถเมล์ไฟฟ้าคันละ 7 ล้านนั่งได้ 20 คนผลิตโดยคนอีสานดีกว่า

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2567 ที่ลานกิจกรรม UD Town อ.เมืองอุดรธานี พรรคก้าวไกล จัดมหกรรมนโยบายก้าวไกล Policy Fest “อุดรจ้วด ๆ” โดยในช่วงท้ายที่สุดของเวทีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาปิดเวที “Udon Beyond Limits : อนาคตอุดรที่ก้าวไกล” โดยกล่าวว่า ความตั้งใจที่พรรคก้าวไกลจัดงานนี้ขึ้นมา คืออยากให้นโยบายการเมืองเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องที่เข้าถึงได้สำหรับประชาชนทุกคน อุดรธานีและภาคอีสานเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีจุดแข็ง ก็คือตัวของคนอีสานเอง แต่ศักยภาพนี้ก็ต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่าง เช่นที่ สส.ก้าวไกล ได้ร่วมกันอภิปรายไปเมื่อวาน คืองบประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท ที่ถูกจัดสรรมายังไม่ตรงจุด 

นายพิธา กล่าวว่า ในมหกรรมนโยบายที่กรุงเทพ พรรคก้าวไกลเสนอ 6 บิ๊กแบงไปแล้ว แต่เราก็ยังไม่ลืมวาระเฉพาะกาลและเฉพาะพื้นที่ ที่สำคัญก็คือเรื่องของอำนาจในการตัดสินใจ อำนาจงบประมาณ และอำนาจเกี่ยวกับกฎหมาย ที่ผ่านมางบประมาณไม่ตอบโจทย์ กฎหมายก็มีปัญหาอย่างที่พรรคก้าวไกลพยายามเข้าไปแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับที่ดิน เป็นเรื่องที่แปลกใจที่ 75% ของคนในประเทศนี้ยังไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง นี่คือหนึ่งในปัญหาที่หากยังไม่มีการแก้ไข ก็จะปลดล็อกศักยภาพออกมาไม่ได้ รวมทั้งเรื่องที่ประเทศไทยมีพื้นที่ชลประทานแค่ 24% อีก 75% ไม่มีระบบชลประทาน นั่นแปลว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ยังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงน้ำถ้าอยู่นอกเขตชลประทาน

นายพิธา กล่าวอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้นายกรัฐมนตรีบอกว่าเห็นประเทศไทยเป็นเหมือนเฟอรารี่ แต่ต้องอย่าลืมว่าเฟอรารี่คันละ 30 ล้านบาท นั่งได้แค่สองคน ถ้าเช่นนั้นตนและพรรคก้าวไกลขอเป็นรถเมล์ไฟฟ้า เหมือนที่นโยบายของพรรคก้าวไกลอยากตั้งอุตสาหกรรมผลิตรถเมล์ไฟฟ้าที่ภาคอีสาน รถเมล์ไฟฟ้าที่ทำโดยฝีมือคนอีสานคันละ 7 ล้านบาท นั่งได้ 20 คน ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย และสร้างงานให้คนอีสานได้ด้วย

นายพิธา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาตนไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะได้เป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งที่มีผู้มาใช้สิทธิ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย กว่า 75% ของคนไทยออกไปใช้สิทธิใช้เสียง นี่คือประวัติศาสตร์ที่พวกเราสร้างร่วมกันและไม่มีใครลบออกได้ อย่างไรก็ตามต้องฝากพี่น้องชาวอุดรธานี ที่ตนเชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของประชาธิปไตย ให้ออกมาใช้สิทธิกันอีกครั้งหนึ่ง เริ่มที่การเลือกตั้งนายก อบจ. ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านี้