2 คดีปักหลัง ‘ชาญ พวงเพ็ชร์’ สะดุดนั่งเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี

2 คดีปักหลัง ‘ชาญ พวงเพ็ชร์’ สะดุดนั่งเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี

แม้ต่อมาเมื่อนายชาญ ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายก อบจ. ปทุมธานี ในอีกวาระหนึ่ง นายชาญ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ม. 81 และม. 93 เทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1486/2565

KeyPoints

  • ชาญ พวงเพ็ชร์ ส่อแววสะดุดนั่งเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี อีกสมัย หลังถูกขุดคุ้ยคดีค้างเก่า
  • เขาถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ 9 เสียงชี้มูลผิด ปมกล่าวหาจัดซื้อถุงยังชีพปี 2554 มูลค่านับล้านบาท
  • เรื่องนี้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค 1 ด้วยตัวเอง และศาลนัดสืบคดีกลาง ก.ค.67
  • ยังมีอีกคดีปมถูกกล่าวหาจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายที่ สตง.พบตั้งงบสูงผิดปกติ 40 ล้านบาท จนโดนหัวหน้า คสช.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อปี 2560 มาแล้ว
  • สารพัดแกนนำเพื่อไทย ออกโรงค้าน ต้องรอศาลสั่งเท่านั้นถึงหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้

ชาญ พวงเพ็ชร์” ว่าที่นายก อบจ.ปทุมธานี ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนอย่างเปิดเผยจาก “พรรคเพื่อไทย” ถูกขุดคุ้ยว่ามีคดีค้างอยู่ในชั้นศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 โดยเป็นคดีเมื่อครั้งเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อปี 2554 และถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดเมื่อปี 2555 กรณีถูกกล่าวหาว่า ทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ครั้ง เมื่อปี 2554 มูลค่าหลักล้านบาท

ท่ามกลางเสียงค้านจาก “พรรคเพื่อไทย” ที่เห็นว่า นายชาญ ยังมีสิทธิ์ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.ปทุมธานี อยู่ เนื่องจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น จะต้องเป็นคำสั่งของศาล

“เวลานี้ทุกคนอย่าเพิ่งคิดไปไกล ให้รอศาลพิจารณา สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับประเทศไทยคือคนจินตนาการไปก่อนศาลตัดสิน ซึ่งเป็นการละเมิดดุลยพินิจศาล ทุกอย่างควรเป็นไปตามกระบวนการ และดุลพินิจของศาลที่จะสรุปความชัดเจนและปฏิบัติไปตาม” เป็นความเห็นจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับเรื่องนี้

ความเป็นมาคดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 9 เสียง เห็นชอบตามความเห็นคณะผู้ไต่สวนเบื้องต้น ว่า การกระทำของนายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151  มาตรา 157  และ มาตรา 162 (1) , (4) ประกอบมาตรา 91 

และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 

นอกจากนี้ ยังมีมูลความผิด ฐานละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 79

2 คดีปักหลัง ‘ชาญ พวงเพ็ชร์’ สะดุดนั่งเก้าอี้นายก อบจ.ปทุมธานี

อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการว่า นอกเหนือจากนายชาญแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลอื่นถูกชี้มูลความผิดด้วยหรือไม่

ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) อย่างไรก็ดีมีการตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีขึ้น สุดท้าย อสส.ไม่สั่งฟ้อง และ ป.ป.ช.ดึงสำนวนกลับมาฟ้องเอง พร้อมกับเสนอความเห็นไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ให้นายชาญ พวงเพ็ชร์ หยุดปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.ปทุมธานี ด้วย

อย่างไรก็ดีในช่วงเวลาที่ผ่านมานายชาญ มิได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ เรื่องจึงเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลตามปกติ โดยสำนักข่าวอิศรา รายงานอ้างว่า ความคืบหน้าของคดีนี้ศาลนัดไต่สวนสืบคดีช่วงกลางเดือน ก.ค. 2567

ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2567  อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) ทำหนังสือชี้แจงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีการเข้าสมัครเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี และ การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ นายชาญ พวงเพ็ชร์ หลังการเลือกตั้ง นายกอบจ.ปทุมธานี เป็นทางการ

โดยกรณีนายชาญ ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีทุจริต ศาลฯประทับรับฟ้องแล้ว ทำไมยังสมัครเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี สถ. ระบุว่า การที่นายชาญ พวงเพ็ชร์ ถูกศาลอาญาฯประทับฟ้อง โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ คดีจึงยังไม่ถึงที่สุด และไม่ได้ถูกคุมขังโดยหมายศาล อีกทั้งไม่ได้ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้น นายชาญ จึงยังไม่มีลักษณะต้องห้าม และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. ปทุมธานี ได้ ตาม พ.ร.บ.อบจ.2540 มาตรา 35/1 ประกอบ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ม. 50 (5) (6) และ (10)และ พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ม. 81 และม. 93

แต่ทำไมนายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายก อบจ.ปทุมธานี แม้ต่างกรรม ต่างวาระ สถ. ระบุว่า การที่นายชาญ พวงเพ็ชร์ ได้กระทำความผิดเมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายก อบจ. ปทุมธานี ในวาระก่อน และศาลอาญาฯได้ประทับฟ้องนายชาญ เมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม แม้ต่อมาเมื่อนายชาญ ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายก อบจ. ปทุมธานี ในอีกวาระหนึ่ง นายชาญ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ม. 81 และม. 93 เทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 1486/2565

นอกเหนือจากคดีจัดซื้อถุงยังชีพแล้ว นายชาญยังมีอีกคดีที่ติดตัวอยู่ และยังอยู่ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ นายชาญ เมื่อครั้งเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี กับพวก ถูกกล่าวหาเรื่องการตั้งงบประมาณจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เมื่อช่วงปี 2555-2556 จำนวนหลายสัญญา โดยถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพบว่า มีการตั้งราคาจัดซื้อสูงเกินกว่าความเป็นจริงถึงกว่า 40 ล้านบาท และมีการส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับไปดำเนินการสอบสวนต่อ 

โดยในช่วงปี 2560 นายชาญ ตกเป็น 1 ใน 5 ผู้บริหารระดับสูงของ อบจ. ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขณะนั้น ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 35/2560 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 9 (จำนวนเจ้าหน้าที่รัฐที่ปรากฎรายชื่อมีทั้งหมด 70 ราย) เป็นเหตุทำให้ต้องถูกระงับการปฏิบัติราชการหรือหน้าที่เป็นการชั่วคราว เพื่อเข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากหน่วยงานตนสังกัดเป็นทางการด้วย