‘รอง ปธ.สภาฯ’ ดุลใหม่ วัดใจ ภท. ‘กาสิโน - กัญชา - รัฐสภา’ เผือกร้อน

ผลพวงจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 ส.ค.2567 ไม่เพียงส่งผลไปถึง 11 กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลซึ่งในจำนวนนี้เป็น สส.5 คน ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ขณะที่ 143 สส.ที่เหลือต้องย้ายไปสวมเสื้อส้มยี่ห้อใหม่ ภายใต้แบรนด์ “พรรคประชาชน”แต่เพียงเท่านั้น

ทว่า ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงไปยังดุลอำนาจ “สภาล่าง” คือ สภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังเกิดการสลับสับเปลี่ยนหลังจากนี้ 

ดุลอำนาจแรก คือ ตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาผู้แทนราษฎร แทน “ชัยธวัช ตุลาธน” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็น 1 ใน 11 กรรมการบริหารที่ติดโทษแบน 

ตำแหน่งนี้ไม่ต้องคาดเดาให้ยุ่งยาก เพราะตามมาตรา 106 แห่งรัฐธรรมนูญ ระบุชัด  “พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร”

เมื่อเป็นเช่นนี้ "หัวหน้าพรรคส้ม" คนใหม่ “เท้ง”ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ก็จะขึ้นแท่นผู้นำฝ่ายค้าน คนที่ 11 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

อีกตำแหน่งที่น่าสนใจ ใน “ดุลอำนาจที่สอง” นั่นคือ “รองประธานสภาฯ คนที่ 1” แทน "ปดิพัทธ์ สันติภาดา" อดีต สส.พิษณุโลก ที่ติดโทษแบนเช่นเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ “หมออ๋อง” ทวงสัญญาไปถึงพรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งลงนามเอ็มโอยูกับพรรคก้าวไกล ในการเฉลี่ยดุลตำแหน่งรองประธานสภาฯ โดยมี 1 ใน 3 มาจากฝ่ายค้าน

สอดรับสัญญาณจาก “พรรคส้ม” ภายใต้แบรนด์ใหม่ เตรียมส่งคนชิงตำแหน่งดังกล่าว 

ล่าสุด กลับมีสัญญาณเซย์โนมาจากซีกรัฐบาล ตอกย้ำชัดว่า “ค่ายสีน้ำเงิน” ทุบโต๊ะ ส่ง “ลูกแบด” ภราดร ปริศนานันทกุล  สส.อ่างทอง รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นมาชิงตำแหน่งดังกล่าว 

เมื่อเช็กเสียงขั้ว “รัฐบาล-ฝ่ายค้าน” ที่ต่างฝ่ายต่างมีอยู่ในมือเวลานี้ แทบไม่ต้องลุ้นว่าฝ่ายใดจะกำชัย

ดังนั้น จึงต้องจับตา “ดุลอำนาจสภาล่าง” ที่กำลังจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้ 

ไล่ลึกไปที่อำนาจรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ที่ “หมออ๋อง” ถืออยู่เดิม คือการพิจารณากฎหมายทั้งหมด รวมถึงระเบียบวาระการประชุม ย่อมมีนัยในเชิงการเมืองหลังจากนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะบรรดานโยบาย กฎหมาย เรือธงสีต่างๆ ที่กำลังเข้าสู่สภาฯ 

โฟกัสปมร้อนน่าสนใจ ที่ต้องติดตาม อาทิ “พ.ร.บ.กัญชา กัญชง” เวอร์ชันสีน้ำเงิน ที่เคยถูกเสนอเข้าสภาฯ ตั้งแต่สมัยประชุมที่แล้ว เวลานี้ยังรอคิวที่จะถูกบรรจุเข้าสู่การพิจารณา วาระแรก

ก่อนหน้านี้ เคยมีประกาศิตจาก “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สั่ง “พับแผน” คืนกัญชาสู่ยาเสพติด ตามมติคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และให้กลับไปใช้การออก “พ.ร.บ.ควบคุม” แทน 

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็มีลุ้นว่าเรือธงสีน้ำเงินเรื่องกัญชาฯ ในวันถือดุลสภาฯล่าง จะถูกปัดฝุ่นกลับมานับหนึ่งใหม่หรือไม่ 

หรือกรณีล่าสุด ที่รัฐบาลเตรียมเสนอกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หรือ “กฎหมายกาสิโน” เข้าสู่สภาฯ แต่เสียงจากฟากฝั่งการเมือง โดยเฉพาะซีกรัฐบาลยามนี้ ดูเหมือนไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 

ก่อนหน้านี้ "แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล" ที่มี "ภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จากพรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้นัดหารือประเด็นดังกล่าว เมื่อเย็นวันที่ 12 ส.ค.67 ที่ผ่านมา 

แม้ฝั่งพรรคเพื่อไทยจะเชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องเช็กเสียงรัฐบาล เนื่องจากผ่านด่าน กมธ.วิสามัญมาแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ปรากฏว่าท่าทีล่าสุดจากพรรคภูมิใจไทยกลับไม่เป็นเช่นนั้นหลัง เมื่อวันต่อมา "ไชยชนก ชิดชอบ" เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นำทีมแถลงคัดค้านร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ด้วยเหตุผล 4 ข้อ ย่อมเป็นการสะท้อนให้เห็นถึง "เกมต่อรอง"ในขั้วรัฐบาลอีกครั้ง หลังจากที่เคยปรากฏออกมาอยู่เป็นระยะ 

นับจากนี้ หากถึงวันที่ดุลอำนาจรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ตกไปอยู่ในมือของภูมิใจไทยอย่างเป็นทางการ ก็ยังมีอีกเรื่องเผือกร้อนที่ค้างคา และรอสะสางนั่นคือ "การตรวจรับอาคารรัฐสภาแห่งใหม่" ที่เริ่มต้นโครงการมาตั้งแต่ปี 2551 ในยุคที่มี “ปู่ชัย ชิดชอบ” เป็นประธานสภาฯ  

ตามกำหนดการเดิม จะต้องตรวจรับตั้งแต่ 18 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้ อดีตรองประธานสภาฯ คนที่ 1 “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ ได้ชี้แจงถึงเหตุผลที่คณะกรรมการตรวจการว่าจ้าง ซึ่งเป็นฝ่ายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ยังไม่สามารถตรวจรับได้ เพราะยังมีความเห็นขัดแย้งในกรรมการบางส่วน จึงต้องทำคำชี้แจงของความเห็นแย้งให้ชัดเจนก่อน และตัวอาคารรัฐสภาเอง ก็ยังไม่สมบูรณ์ตามเงื่อนไขของแบบ

ขณะที่ว่าที่รองประธานสภาฯ จากค่ายสีน้ำเงิน “ภราดร ปริศนานันทกุล” พูดถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องของสภาฯ ที่ผ่านมาไม่เคยมีสมาชิกพรรคภูมิใจไทยเข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้น ขอให้พรรคได้มีโอกาสเป็นตัวแทนเข้าไปพิจารณา

ในวันที่ภูมิใจไทยถือดุลรองประธานสภาฯ ประเด็นก่อสร้างรัฐสภา ซึ่งถูกผูกโยงกับ "แกนนำพรรค" มาหลายยุคหลายสมัย ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะหลายกรณีถูกยื่น ป.ป.ช.ตรวจสอบเป็นระยะ นับสิบคดี 

เมื่อสภาล่างเข้าสู่โหมดเปลี่ยนถ่ายดุลอำนาจ เกมต่อรองระหว่างเบอร์ 1 เบอร์ 2 ในพรรคร่วมรัฐบาล จึงเปิดฉากชิงจังหวะได้เปรียบ อย่างไม่ยอมเสียเวลา   

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์