'หมอวรงค์' ยก 3 ปมร้อง กกต.สอบ 'ทักษิณ' ครอบงำ 'เพื่อไทย' จี้ชงยุบพรรค
มาตามนัด! 'หมอวรงค์' ร้อง กกต.สอบ 'ทักษิณ' ปมครอบงำ 'เพื่อไทย' ก้าวสู่ 'ระบอบชินวัตร' ยก 3 เหตุผลเป็นหลักฐานมัด นำไปสู่ยุบพรรค ปัดร่วมขบวนการ 'นิติสงคราม' ชี้การตรวจสอบถ่วงดุลเป็นความสวยงามของประชาธิปไตย ลั่นไม่เคยรับเงิน
เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี และคณะ เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบ 2 ประเด็น ได้แก่ 1.กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคเพื่อไทย เป็นความผิดตามมาตรา 29 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และ 2.พรรคเพื่อไทยยอมให้คนที่ไม่ใช้สมาชิกพรรคครอบงำ ชี้งำ ตามมาตรา 28 กฎหมายเดียวกันหรือไม่
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ที่ต้องมาร้องเรื่องนี้เพราะมองว่า การครอบงำเป็นปัญหาใหญ่ของการเมืองไทย คนครอบงำ มีการไปติดต่อ เจรจา มีผลประโยชน์อะไร ประชาชนไม่รู้ จึงเห็นว่า ต้องร้องต่อกกต.เพื่อส่งต่อ ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคเพื่อไทย เพื่อเป็นการปกป้องประโยชน์ของประชาชน และระบบกฎหมาย
โดยมี 3 สาเหตุที่นำสู่การร้องเรียน 1.นายทักษิณ เชิญแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงนายชัยเกษม นิติศิริ และพรรคร่วม มาเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ในวันที่ 14 ส.ค. ช่วงเย็น หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลง ซึ่งสื่อมีการนำเสนอข่าวว่าได้ข้อสรุปการหารือว่าจะเสนอชื่อนายชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรี แม้วันที่ 15 ก.ย. จะมีการประชุมของพรรคเพื่อไทยและมีการเปลี่ยนตัวว่าที่นายกฯ เป็นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แต่ถือว่า การกระทำของวันที่ 14 ส.ค.สำเร็จไปแล้ว โดยนายทักษิณ ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเข้ามาครอบคลุม ครอบงำ ชี้นำพรรคเพื่อไทย และแกนนำหรือกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว
2.เป็นเหตุการณ์วันที่ 20 ส.ค. นายทักษิณ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ที่ตอบคำถามว่า จะให้นางสาวแพทองธารควบตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่ ว่า เป็นเรื่องที่หนักเกินไป แม้นางสาวแพทองธารจะเป็นบุตรสาว แต่ก็เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งการพูดลักษณะนี้เท่ากับเป็นการชี้นำหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกทั้งสื่อยังถามต่อว่า พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการครอบงำหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่าไม่ใช่ “ครอบงำ” แต่เป็นการ “ครอบครอง” ซึ่งแม้จะเป็นการพูดเล่น แต่คำนี้หนักกว่าการ “ครอบงำ” เพราะคำว่า ครอบงำคือมีอิทธิพลเหนือกว่า ให้คนอื่นปฏิบัติตาม แต่ครอบครองคือมีสิทธิเป็นเจ้าของ สังคมอาจมองว่า นางสาวแพทองธารเป็นลูกสาว นายทักษิณเป็นบิดาก็สามารถใหคำปรึกษาได้ ซึ่งตนก็เห็นด้วย แต่ต้องเป็นการให้คำปรึกษาที่บ้าน ไม่ใช่มาแสดงออกผ่านสาธารณะ แบบนี้บ่งบอกชัดเจนว่า นายทักษิณคือหัวหน้าพรรค ดังนั้นการที่นายทักษิณมีพฤติการชี้นำ ครอบงำ ควบคุม จึงเข้าข่ายผิดกฎหมาย
3.การที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล ซึ่งนายทักษิณ ตอบสื่อชัดเจนว่า ต้องการเสียงที่เพียงพอต่อการผ่านกฎหมาย สุดท้ายก็เอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาล โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเป็นผู้ส่งหนังสือเชิญ พฤติกรรมนี้เท่ากับว่า นายทักษิณ ชี้นำการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาการร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐที่มีความขัดแย้งระหว่างร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งนายทักษิณ ก็ชี้ว่า จะเอากลุ่มไหนมาร่วมรัฐบาล สุดท้ายเป็นไปตามที่นายทักษิณ ชี้ว่าจะเอากลุ่มร.อ.ธรรมนัส มาร่วมรัฐบาล
“3 เหตุผลนี้หากปล่อยให้มีการครอบคลุม ชี้น ครอบงำ จะเกิดอันตรายกับประเทศ พฤติกรรมสองอย่างนี้ไปด้วยกัน เหตุการณ์หนึ่งที่พรรคการเมืองยอมให้คนที่ไม่ได้เป็นสมาชกพรรคมามีพฤติกรรมแบบนี้ พรรคการเมืองก็มีความผิดและนำไปสู่การยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ และเหตุการณ์นี้เป็นผู้ใดที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ก็เป็นความผิดตามมาตรา 29 เราจึงร้องร่วมในเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกันต่อกกต.” นพ.วรงค์ กล่าว
เมื่อถามว่า ปัจจุบันมีการร้องเหตุที่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปพบนายทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้าแล้ว คิดว่า กกต.จะนำคำร้องของ นพ.วรงค์ไปรวมด้วยหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า คนละส่วนกัน ตนร้องพรรคเพื่อไทย กับนายทักษิณ แต่คำร้องนั้น เป็นการร้องพรรคร่วม 6 พรรค มองว่า พรรคร่วมมีสิทธิเจรจากับใครก็ได้ เชื่อว่า เขาไม่ได้ถูกครอบงำ แต่ต้องอิงบนผลประโยชน์ของเขา ใครมาเจรจาก็ต้องมาปรึกษาหารือว่า อันไหนได้ประโยชน์สูงสุ จึงเป็นการเจรจาต่อรองธรรมดา แต่พรรคเพื่อไทย มีการปฏิบัติตามสิ่งที่นายทักษิณพูดเกือบทั้งหมด เราจึงร้องเฉพาะเรื่องนายทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่า การร้องครั้งนี้อาจทำให้ถูกมองว่าอยู่ร่วมขบวนการ ใช้ "นิติสงคราม" เพื่อทำลายรัฐบาล นพ.วรงค์ กล่าวว่า คำว่า นิติสงคราม เป็นคำที่ยกขึ้นมาเพื่อโจมตีคนที่มาร้องเรียน อยากถามกลับคนที่ใช้คำนี้ขึ้นมาว่า คุณเป็นนักประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะหลักใหญ่ประชาธิปไตยมี 3 ข้อคือ เรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องการเลือกตั้ง แต่ข้อที่สาม ที่เป็นกระบวนการสำคัญคือการตรวจสอบและถ่วงดุล ดังนั้นกระบวนการประชาธิปไตยต้องน้อมรับการตรวจสอบและถ่วงดุล การที่มาโจมตีคนที่มาร้องเรียนว่า ใช้นิติสงครามนั้น เท่ากับไม่ยอมรับการตรวจสอบ และถ่วงดุล ไม่อยากให้ประชาชนหลงประเด็น เพาะคนพวกนี้กลัวการตรวจสอบ ถ่วงดุลซึ่งเป็นเสน่ห์ของประชาธิปไตย ที่คนได้ประโยชน์คือประชาชน เพราะนักการเมืองจะระมัดระวังตัวในการที่จะทำอะไร
“คำว่านิติสงคราม จึงเป็นวาทะกรรมที่กรงกลัวการตรวจสอบ ของคนที่กลัวการถูกตรวจสอบ แต่ปากอ้างว่า ตัวเองคือนักประชาธิปไตย พวกนี้คือของปลอม ยังบอกว่าคนร้องรับเงิน ก็ขอให้บอกเลยว่าใครรับเงิน ลองบอกว่าหมอวรงค์รับเงินผมจะฟ้อง อย่าพูดลอย ๆ ตีกิน ด้อยค่าคนอื่น แน่จริงระบุชื่อหมอวรงค์รับเงิน ไม่ต้องระบุว่ารับเงินใครมาก็ได้ แต่แค่บอกว่าผมรับเงินเท่าไหร่ผมฟ้องคุณแน่ คนอย่างผมไม่มี ถ้ารับรวยไปแล้วตั้งแต่โครงการรับจำนำข้าว 9.4 แสนล้านบาท ผมรับเล็ก ๆ น้อย ๆ สัก 500 ล้าน หรือพันล้าน ซึ่งมีคนเจรจาด้วย ผมยังไม่รับเลย นับประสาอะไรมาบอกว่าคดีละสองแสน กระจอกเกินไป” นพ.วรงค์ กล่าว
เมื่อถามว่า การกลับมาของนายทักษิณ จะเป็นการฟื้นระบอบทักษิณ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ก็เกิดขึ้นจริง เพราะระบอบทักษิณที่เราจำกัดความไว้คือการใช้อำนาจไม่ชอบ นำไปสู่การทุจริตคอรัปชัน ตอนแรกที่นายทักษิณกลับมา ตนให้อภัย เพราะเห็นว่าเขาคงมีสำนึก และตนได้อ่านพระบรมราชโองการระบุว่า ยอมรับผิด สำนึกผิด พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งตนโอเคมาก พร้อมให้อภัย แต่พอดูไปแล้วมันไม่ใช่ นายทักษิณกล่าวหาว่า ถูกยัดข้อหา และไปปาฐกถาว่า โดนหมั่นไส้หน่อยต้องไปอยู่ต่างประเทศ 17 ปี สะท้อนว่านายทักษิณไม่ได้สำนึกผิด ดังนั้นมองว่า สังคมให้โอกาสนายทักษิณแล้ว แต่นายทักษิณไม่รับโอกาสนี้ เหมือนกับการที่ไม่ยอมอยู่ชั้น 14 และมีพฤติกรรมที่ทำให้คนสงสัยว่ามีการครอบงำ เท่ากับกำลังรื้อฟื้นระบอบทักษิณขึ้นมา หลัง ๆ มีคนใช้คำว่า ระบอบชินวัตรแล้ว เพราะมันหนักกว่าตัวนายทักษิณ ดังนั้น ถ้านายทักษิณ คิดดีต่อชาติบ้านเมืองจริงก็ขอให้เคารพกฎหมาย เคารพรัฐธรรมนูญ เราให้อภัยคุณได้ แต่ถ้าท้าทายกฎหมายก็ช่วยไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยคือการตรวจสอบ ถ่วงดุล ดังนั้น นายทักษิณคือผู้รื้อฟื้นระบอบทักษิณและแปลงร่างไปเป็นระบอบชินวัตร
เมื่อถามว่า การร้องวันนี้มีน้ำหนักและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า มองเป็น 2 กรณี เรียกร้อง กกต. คือองค์กรอิสระที่เป็นหัวใจสำคัญที่สร้างสมดุลระบอบประชาธิปไตย ถ้า กกต.ทำเต็มที มีช่องทางให้ กกต.เร่งตรวจสอบได้เยอะ ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเร็ว คิดว่าบ้านเมืองดีขึ้นแน่นอน การที่เราร้องเรียน เป็นการกระตุกให้คนที่คิดทำไม่ดีกับบ้านเมืองระวังมากขึ้น ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการร้องไปเรื่อย เพิ่งร้องนายทักษิณ กรณีชั้น 14 เท่านั้น ต้องถามว่า ไม่ควรร้องอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เลอะเทอะ แต่ทำแบบมีหลักเกณฑ์ มีข้อมูลหลักฐาน ทำเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กไม่ทำ