'วอร์รูมลับ'จ้องล้างกระดาน เบื้องลึก 2ขั้วถอยปมจริยธรรม

“ถอยเพื่อไปต่อ” หรือเพราะสัญญาณ “ล้างกระดาน?” คำถามที่เกิดขึ้น หลังมีสัญญาณจากฟากฝั่งการเมือง“ใส่เกียร์ถอย” ปมร้อนแก้รัฐธรรมนูญ ในประเด็น “จริยธรรมนักการเมือง” ที่ส่อเค้าว่าจะกลายเป็นรัฐธรรมนูญ “ฉบับสุดซอย” 

ล่าสุด มีสัญญาณจากฝั่ง “พรรคประชาชน” ก่อนหน้านี้ถูกจับตาว่า กำลังเล่นบทรวมการเฉพาะกิจ เปิด “ดีลข้ามขั้ว”ระหว่าง“พรรคเพื่อไทย” แบบพบกันครึ่งทาง เพื่อสนับสนุนการแก้ไขประเด็นดังกล่าว

 ทว่า พลันที่พรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณถอยแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยเฉพาะหมวดจริยธรรม เพื่อสกัด “เชื้อไฟ”ที่อาจลามไปสู่จุดเสี่ยงทางการเมืองเหมือนในอดีต ย่อมส่งผลไปยัง “พรรคประชาชน” ที่จะต้องเผชิญเกมโดดเดี่ยวในสภาฯไปโดยปริยาย 

สัญญาณชัด ล่าสุดจาก “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน บอกว่า เรื่องมาตรฐานจริยธรรมที่มีข้อถกเถียงกันอยู่นั้น หลายพรรคก็ยอมรับอย่างตรงกัน ไม่ใช่แค่พรรคประชาชนที่เห็นปัญหา เราเสนอเพื่อปรับปรุงระบบการเมืองให้ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง

“ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขรายมาตราเดินหน้าต่อ พรรคประชาชนจึงขอพักการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้ก่อน จนกว่าจะทำงานเชิงความคิด กับพรรคร่วมรัฐบาลได้มากขึ้น”

 พริษฐ์ ยังหวังว่า พรรคอื่น ๆ จะไม่นำการแก้ไขรายมาตรา เรื่องจริยธรรมมาเป็นข้ออ้าง เอามาเป็นเงื่อนไขที่จะไม่มองเห็นความจำเป็น ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา อีกหลายประเด็นที่ต้องแก้ไข ควบคู่ไปกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

“ขอขีดเส้นใต้ 100 ครั้ง เราไม่ได้บอกว่านักการเมืองไม่ควรถูกตรวจสอบ แต่การให้องค์กรไม่กี่องค์กร มานิยามว่า อะไรคือจริยธรรม ตรงนี้คือสิ่งอันตราย อาจมีการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ กลั่นแกล้งกันทางการเมือง” พริษฐ์ กล่าว

 

อย่างที่รู้กัน ผลพวงจาก “คดียุบพรรคก้าวไกล” จากกรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จนกลายสภาพมาเป็นพรรคประชาชน 

จนถึงเวลานี้ ยังมี สส.บางส่วนที่อยู่ในกลุ่ม“44สส.” ติดร่างแหในคดีจริยธรรมร้ายแรง ที่ยังค้างอยู่ในวาระการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เสี่ยงเข้าเรดโซน ถูกตัดสิทธิการเมือง “ตลอดชีวิต”

ฉะนั้น แม้จะบอกว่า สส.ที่อยู่ในกลุ่ม 44 คน ไม่ได้ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อสกัดข้อครหาในเรื่องประโยชน์ทับซ้อน แต่การแก้ไขประเด็นดังกล่าว ย่อมถูกจับตาว่า เป็นผลพลอยได้ หากกฎหมายผ่านหรือไม่ 

ไม่ต่างจาก “พรรคเพื่อไทย” ที่แม้ก่อนหน้า แกนนำพรรคจะบอกว่า ต้นเรื่องมาไม่ได้มาจาก“พรรคเพื่อไทย” แต่เป็น“หัวหน้าพรรคใหญ่” ในพรรคร่วมรัฐบาล แน่นอนว่าหมายถึง “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย 

แต่ด้วยจังหวะ “ขยับแรง-เคลื่อนเร็ว”ของพรรคเพื่อไทย ที่ปฏิบัติการ“ซุ่มเงียบ” เสนอร่างแก้ไข 6 ประเด็นเมื่อวันที่ 20 ก.ย. แถมบรรดาพลพรรค “ค่ายนายใหญ่” ยังออกมาประสานเสียงหนุน “ปลดล็อกปมจริยธรรม”  

จึงไม่แคล้วถูกมองว่า เป็นเกมสมประโยชน์ แถมยังเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้กับ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ไม่ให้เพลี่ยงพล้ำเหมือนอย่างกรณี “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตราด้วยคำว่า“ไร้จริยธรรม”หรือคำว่า“ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” ที่จะติดตัวไปถึงบทบาทต่างๆ หลังจากนี้

 

 

ภายใต้สัญญาณความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง “บุคคลหลังม่าน”ได้ส่งสัญญาณเตือน ถึงเงื่อนไขที่อาจสุ่มเสี่ยง “สุดซอย” จนซ้ำรอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรม จนนำมาสู่การยึดอำนาจในท้ายที่สุด

ยิ่งหาก “พรรคเพื่อไทย” เปิดดีลข้ามขั้วจับมือกับ “พรรคประชาชน”แก้ไขกฎหมายด้วยแล้ว ย่อมเป็นการสะท้อนถึงเกมสมประโยชน์ระหว่าง 2 ขั้ว แถมสร้างความหวาดระแวงภายในขั้วอำนาจอีกด้วย ซ้ำอาจเป็นเงื่อนไข ที่ไปเข้าทางกลุ่มจ้อง“ล้างกระดาน” ในท้ายที่สุด 

ข่าวคราวการเปิด “วอร์รูมลับ”จาก“ฝ่ายจ้องล้ม” ที่อาจมี “ฝ่ายแค้น”รอจังหวะผสมโรง ไม่ใช่แค่ข่าวลือ

ว่ากันว่ามีการ “ตั้งทีมลับ” หารือข้อกฎหมายกันอย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะประเด็นการ“ขัดกันแห่งผลประโยชน์” ตามบทบัญญัติมาตรา 184 และมาตรา 185 แห่งรัฐธรรมนูญ 

โดยเฉพาะเวิร์ดดิ้งที่บอกว่า “สส. หรือ สว.ต้องไม่ใช้สถานะ หรือตำแหน่งกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”

ประเด็นนี้ มีการประเมินว่า น่าจะมีน้ำหนักเพียงพอ แถมเวลานี้ในองค์กรอิสระยังมีสายตรง “ขั้วอำนาจเก่า” ทำหน้าที่อยู่

แต่แผน“ล้างกระดาน”  จะเริ่มนับหนึ่งได้ก็ต่อเมื่อ“ความผิดสำเร็จ”  ซึ่งจะไปเชื่อมโยงหลายมาตราที่เกี่ยวข้อง

ทว่าตามภาษากฎหมายตีความว่า คำว่า “ความผิดสำเร็จ” ก็ต่อเมื่อมีดำเนินการไปแล้ว นั่นคือ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาฯ 

ซึ่งหาก "กลุ่มจ้องล้ม" ทำสำเร็จ นั่นหมายถึงตัวเลขสส.ที่จะหายไปจำนวนมาก ส่งผลในเชิงดุลอำนาจ ที่อาจถูกเปลี่ยนมือในทันที

ฉะนั้นหากพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝั่ง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคร่วมรัฐบาล” หรือ“พรรคประชาชน” ยังขืนดึงดันเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภาฯก็จะเข้าทางทันที

ความพยายามสร้างเงื่อนไขให้สถานการณ์การเมืองสุกงอม จนเกิดสภาวะสุญญากาศ แน่นอนว่า ฝั่ง “เพื่อไทย” ในฐานะแกนนำรัฐบาล ที่แม้เวลานี้จะถือเสียงในสภาฯ เบ็ดเสร็จถึง 324 เสียง ย่อมรู้ดีถึงบทเรียนในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เสียงเบ็ดเสร็จไม่ต่างกัน ก็ยังต้องเผชิญวิบากกรรม จนหลุดจากอำนาจ 

ไม่ต่างจากพรรคร่วมรัฐบาล หากยังขืนดันทุรัง ปล่อยให้ร่างกฎหมายผ่านเข้าสภาฯ ก็จะกลายไปเข้าทางฝ่ายจ้อง “ล้างกระดาน” ในท้ายที่สุดเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝั่ง “พรรคประชาชน” จากเดิมที่หวังจะจับมือกับพรรคเพื่อไทย พบกันครึ่งทาง แต่เมื่ออีกฝั่งส่งสัญญาณถอย ดังนั้นลำพังจำนวนเสียงที่มีอยู่ในมือ พรรคเดียว 143 เสียง บวกกับแนวร่วมพรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง (3 เสียงอยู่ขั้วตรงข้าม) และพรรคเป็นธรรม 1 เสียง ส่วนพรรคเล็ก 1 เสียงที่เหลืออยู่เวลานี้ เกือบทั้งหมดถูกมองว่าถูกเทคโอเวอร์โดย“ผู้กอง”สายรัฐบาล ไปเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ “19 สส.พลังประชารัฐ” กลุ่ม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แม้เวลานี้ จะถูกผลักไปอยู่ในขั้วฝ่ายค้าน แต่ก็ประกาศชัด ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม

แน่นอนว่า สถานะการณ์พรรคประชาชนเวลานี้ ก็ถูกผลัก ให้โดดเดี่ยวในสภาฯ ไปโดยปริยาย จากเดิมหวังว่า การแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นการล้อมคอก ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย“ความผิดสำเร็จ” ยุบพรรคส้มในอดีต 

ทำไปทำมา กลับยิ่งเป็นเกมเข้าทางแผนวอร์รูมลับ“ล้างกระดาน” สอดคล้องกับความเคลื่อนไหว บรรดา“นักร้อง” ที่กำลังรอสัญญาณจากผู้บัญชาการอยู่ในขณะนี้