เส้นทาง ‘บิ๊กโจ๊ก’ ลุ้นมนต์ขลัง ‘9 ชีวิต’ พ้นพงหนาม-จบชีวิตราชการ?
"...ฉากต่อไปของ “บิ๊กโจ๊ก” คงต้องรอผลการแถลงของศาลปกครองสูงสุดอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการฯลงมติไปแล้วในวันนี้ ผลจะออกมาเป็นเช่นไร คือการชี้ขาด “ชีวิตราชการ” ของเขา..."
KEY
POINTS
- เส้นทางตำรวจของ “บิ๊กโจ๊ก” มีชื่อเสียงโลดโผนผ่านสื่อมานับ 10 ปีกำลังถูกจับตามอง
- ในอดีตเขาเคยร้องเรียนคนระดับ ผบ.ตร.มาแล้วอย่างน้อย 2 คน แถมยังถึงขั้นยื่น ป.ป.ช.สอบนายกฯ
- กระทั่งชีวิตเพลี่ยงพล้ำตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา พัวพันเว็บไซต์พนันออนไลน์ จนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน
- มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เคาะกันวันนี้ คือตัวกำหนดชะตาในวงการ “สีกากี” ของเขา
- แม้ยังปิดข่าวเงียบ ท่ามกลางกระแสหลายแหล่งสะพัดว่อนโซเชียลฯ ต้อรอลุ้นผลแถลงทางการ
ชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง พลันที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยนายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานการประชุม ได้นำประเด็นข้อกฎหมายในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นฟ้อง ผบ.ตร. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และนายกรัฐมนตรี เป็น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 กรณียื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาชี้ขาดโดยตุลาการศาลปกครองสูงสุด 57 คน
ล่าสุด มีสื่อหลายสำนักรายงานอ้างผลการชี้ขาดของที่ประชุมใหญ่ดังกล่าว แต่ยังรายงานข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน เบื้องต้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เข้าร่วมการประชุม ส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธที่จะเปิดเผยผลการประชุม โดยให้เหตุผลว่า ผลการประชุมเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ต้องรอให้องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดเจ้าของสำนวน ดำเนินการออกเป็นคำสั่ง หรือคำพิพากษาต่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวเท่านั้น
โดยองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดเจ้าของสำนวนยังไม่ได้นัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก และสั่งนัดอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ ทั้งนี้ ตลอดทั้งวันนี้มีรายงานข่าวออกมาทั้ง 2 ทาง ทางหนึ่งมีกระแสข่าวว่า ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคุ้มครองฯ และบางรายงานข่าวก็ระบุว่า ศาลปกครองสูงสุด มีมติยกคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ทำให้เกิดความสับสนว่าผลการพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า สำนักงานศาลปกครองได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตรวจสอบสื่อมวลชน และสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอข่าวคดีดังกล่าวเป็นการหมิ่นและละเมิดอำนาจศาล เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ไม่ว่าผลของคดีดังกล่าวจะออกมาอย่างไร แต่ที่น่าสนใจ ชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” ถือเป็นนายตำรวจที่ได้รับการจับตา และอยู่บนหน้าสื่อมายาวนานนับ 10 ปี เคยขึ้นสู่จุดสูงสุดในชีวิตราชการ และเพลี่ยงพล้ำล้มมาก็หลายครั้ง แต่เอาตัวรอดมาได้แทบทุกครั้ง จนถูกขนานนามว่า “โจ๊ก 9 ชีวิต” แต่ด้วยผลมติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว อาจเปลี่ยนเส้นทางสีกากีของเขาไปตลอดกาลก็เป็นไปได้
ในอดีตที่ผ่านมา เขาคือหนึ่งในนายตำรวจที่เรียกร้องให้ตรวจสอบ “บิ๊กนายพลตำรวจ” มาแล้วหลายคน เช่น เมื่อครั้งเขาเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เคยร้องเรียนกรณีการจัดซื้อเครื่อง “ไบโอเมตริกซ์” วงเงิน 2.1 พันล้านบาท ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมี “พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” อดีต ผบ.ตร. เป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา
เช่นเดียวกันตัวเขาเองก็ถูกร้องเรียนกล่าวหาในสารพัดเรื่อง กรณีล่าสุดไม่ถึงปี เมื่อครั้งเกิดเรื่องราวระหองระแหงกันระหว่าง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. จนเปิดหน้ารบกันทั้งหน้าฉาก-หลังม่าน โดย “บิ๊กโจ๊ก” ถูกกล่าวหาวพัวพันเว็บไซต์พนันออนไลน์ จนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน และโยกย้ายไปนั่งเก้าอี้ข้าราชการประจำสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ
จากการถูกกล่าวหาคดีนี้ ทำให้เขายื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า ขณะที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. 2567 ให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อน กรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญาและถูกศาลอาญาออกหมายจับ ในความผิดฐานสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อ ก.พ.ค.ตร. ต่อมาก.พ.ค.ตร. ได้มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์และยกคำขอคุ้มครองชั่วคราวฯ ทำให้ได้รับความเดือดร้อน เสียหาย
นอกจากการฟ้องในศาลปกครองแล้ว ในส่วนของ ป.ป.ช. เขาทำหนังสือขอความเป็นธรรมคดีนี้ คัดค้านการทำหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่ง เปลือยเล่ห์สนกลในกระบวนยุติธรรมฉาวโฉ่ออกมา กระทบชิ่งถึง “บุคคลหลังม่าน” ผู้มากบารมีในแวดวงการเมืองมาแล้ว
ว่ากันว่าสาเหตุลากไส้กันเดือดดาลสะเทือนยุทธจักรการเมืองครั้งนี้ มาจากกรรมการ ป.ป.ช.คนดังกล่าว เคยเข้ามาฝากตัว และเคยถูกพาไปฝากฝังกับ “บิ๊กนักการเมือง” คนหนึ่ง เพื่อให้ได้นั่งเก้าอี้กรรมการ ป.ป.ช. ทว่าพอถึงเวลาทีเด็ดทีขาด กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ กลับบ่ายเบี่ยงตีตัวออกห่างไม่ยอมช่วยเหลือ จึงนำมาสู่การเปิดหน้ารบครั้งนี้ ลุกลามจนถึงขั้นยื่น ป.ป.ช.ให้สอบ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯขณะนั้นด้วย ทว่าในเวลาต่อมา “บิ๊กโจ๊ก” ได้ถอนคำร้องสอบ “เศรษฐา” ออกไป
แม้เบื้องต้น “บิ๊กเนม ป.ป.ช.” ทั้งหลาย จะพยายามออกมาปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าวก็ตาม แต่เรื่องนี้ก็ชี้ให้เห็นช่องโหว่ใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกับหน่วยงานตรวจสอบทุจริตอันดับ 1 ของไทยว่า อาจมีบุคคลบางกลุ่มคอย “คอนโทรล” อยู่หลังฉาก ชี้ผิดชี้ถูกให้กับบางฝ่ายใช่หรือไม่
กรณีข้างต้นนี้เองเป็นหนึ่งในชนวนเหตุให้เขาถูก ตร.มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนถึงขณะนี้ เกิดเรื่องราวศึกบาดหมางระหว่างแนวรบ “บิ๊กต่อ” กับแนวรบ “บิ๊กโจ๊ก” จน “กรมปทุมวัน” แทบแตก และส่งกลิ่นเหม็นจนประชาชนพากันเบือนหน้าหนีไปทั่ว แม้ศึกดังกล่าวดูเหมือนจะจบลงเมื่อ “บิ๊กต่อ” ลาออกจากเก้าอี้ ผบ.ตร. แต่สงครามนี้ก็ยังลากยาวมาจนถึงยุค “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. (ปัจจุบันเป็น ผบ.ตร.) เพราะ “บิ๊กโจ๊ก” ยังคงสู้ต่อเพื่อให้ตัวเองกลับเข้าสู่ตำแหน่งใน ตร.ให้ได้
ฉากต่อไปของ “บิ๊กโจ๊ก” คงต้องรอผลการแถลงของศาลปกครองสูงสุดอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการฯลงมติไปแล้วในวันนี้ ผลจะออกมาเป็นเช่นไร คือการชี้ขาด “ชีวิตราชการ” ของเขาว่า ฉายา “โจ๊ก 9 ชีวิต” จะยังมีมนต์ขลังอยู่หรือไม่นั่นเอง