โอกาส‘แพทองธาร’ลุ้นผลงาน 68 กระชับพรรคร่วม ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล

โอกาส‘แพทองธาร’ลุ้นผลงาน 68 กระชับพรรคร่วม ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล

โอกาส‘แพทองธาร’ลุ้นผลงาน 68 กระชับพรรคร่วม ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล พปชร.ฝ่ายค้านเต็มตัว เร่งเกมค้าน-ถอนแค้น

KEY

POINTS

  • เสร็จสิ้นการแถลงผลงานครบ 3 เดือน พร้อมทั้งประกาศนโยบายรัฐบาลปีหน้า 2568 โดยนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ภายใต้ชื่อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง”
  • เวทีแถลงผลงานถูกแปรเปลี่ยนเป็นเวทีแถลงนโยบายปี 2568 จึงน่าจับตาอย่างยิ่งเพราะสอดคล้องกับการประเมินสถานการณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร มั่นใจว่าปลายปี หน้าเศรษฐกิจจะกลับมาคึก

เสร็จสิ้นการแถลงผลงานครบ 3 เดือน พร้อมทั้งประกาศนโยบายรัฐบาลปีหน้า 2568 โดย นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ภายใต้ชื่อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” ถือเป็นคำมั่นสัญญาจากรัฐบาลผสม ที่มี พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ

แกะรอยสิ่งที่ผู้นำรัฐบาลต้องการสื่อสาร ไม่ได้มีเพียงผลงาน แต่ประเด็นหลักคือการบอกประชาชนว่าในปีหน้า 2568 รัฐบาลจะดำเนินนโยบายใดบ้าง และจะนำพาประเทศไทยไปสู่ทิศทางใด

“แพทองธาร” ประกาศ นโยบายเรือธงปี 2568 พร้อมระบุตัวรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ อาทิ นโยบายบ้านเพื่อคนไทย โดยให้สิทธิคนไทยที่ยังไม่มีบ้านก่อน ไม่มีเงินดาวน์ ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,000 บาท ไม่เกิน 30 ปี สิทธิอยู่ 99 ปี มี “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และ รมว.คลัง และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม รับผิดชอบ

นโยบายแก้หนี้รถ-บ้าน-SME “คุณสู้ เราช่วย” ลดการผ่อนชำระ 3 ปี ปีที่หนึ่ง 50% ของค่างวดเดิม ปีที่สอง 70% ของค่างวดเดิม ปีที่สาม 90% ของค่างวดเดิม มีรองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร รับผิดชอบ

นโยบายปลดล็อกทุนผูกขาดเปิดโอกาสธุรกิจรายย่อย อาทิ ปลดล็อกผูกขาดราคาพลังงาน “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน รับผิดชอบ ปลดล็อกส่งออกข้าว และปลดล็อกสุราชุมชน รองนายกฯพิชัย ชุณหวชิร รับผิดชอบ

นโยบายนำธุรกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ เนื่องจากธุรกิจใต้ดินมีมูลค่า 49% ของจีดีพี หากนำเข้ามาสู่ระบบได้จะสามารถเพิ่มรายได้ให้ประเทศ มีรองนายกฯพิชัย ชุณหวชิร รับผิดชอบ

ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม รับผิดชอบ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ซึ่งจะประกาศใช้เดือน ก.ย.2568 มี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รับผิดชอบ

เมื่อเวทีแถลงผลงาน ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเวทีแถลงนโยบายปี 2568 ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลแพทองธารจึงน่าจับตา เพราะสอดคล้องกับการประเมินสถานการณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ ที่มั่นใจว่าปลายปี 2568 เศรษฐกิจจะกลับมาคึกคัก

สโลแกน “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” จึงเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของรัฐบาลแพทองธาร หากทำได้จริงตามคำสัญญา เรตติ้งของ“พรรคเพื่อไทย” ย่อมมีโอกาสกอบกู้กลับมาได้

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน หากไม่สามารถทำได้อย่างที่คาดหวัง คะแนนนิยมอาจจะจมดิ่งลงเช่นกัน เนื่องจากความคาดหวังของ “ประชาชน” ที่มีต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โฟกัสที่เศรษฐกิจที่ต้องอยู่ในแดนบวก ทำให้ประชาชน “มีกิน มีใช้” ตามม็อตโต้ของนายกฯ อิ๊งค์

ขณะเดียวกัน ในทางคู่ขนาน ทักษิณ ชินวัตร กำลังเร่งเดินเครื่องงานการเมืองของพรรคเพื่อไทย โดยปรากฏตัวในงานสำคัญมากขึ้น     

คอยเป็นมือประสานสิบทิศ สนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ในฐานะบิดานายกฯอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะปฏิบัติการหลังฉากที่เจ้าตัวเดินสายพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบรรดา“นักธุรกิจ”ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ใช้ซูเปอร์คอนเน็กชั่นช่วยสนับสนุนลูกสาวทุกทาง

ขณะเดียวกันงานพรรค ที่แพทองธารมีตำแหน่งหัวหน้าพรรค  ทักษิณก็ขยับเข้ามาช่วยดูแล โดยจะเริ่มติวเข้ม สส.เพื่อไทยในงานสัมมนาพรรคเพื่อไทย ระหว่างวันที่ 13-14 ธ.ค.2567 ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แผนการสอนที่เจ้าตัวส่งสัญญาณคือ จะมุ่งไปที่ “สิ่งไหนควรทำ-สิ่งไหนไม่ควรทำ” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำงานสภาฯ ให้สอดคล้องกับงานบริหารของรัฐบาล

นอกจากนี้ ทักษิณยังพยายามจะสะท้อนบริบททางการเมืองของประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ฉายภาพขุมอำนาจทางการเมือง เพื่อให้ความมั่นใจกับสส.เพื่อไทย ซึ่งอาจผูกโยงไปปมรัฐประหาร ที่ทักษิณเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นกับ “ครอบครัวชินวัตร” เป็นรอบที่ 3

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของทักษิณนับจากนี้ น่าจับตาอย่างใกล้ชิด หลังพ้นพงหนามกรณีถูกร้องครอบงำพรรค จึงเปิดหน้าเดินเกมคู่ขนานให้ลูกสาว โดยมุ่งกอบกู้ความนิยมของพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก

“กล้าธรรม”เสริมศักยภาพรัฐบาล

ตัดกลับมา ที่แนวร่วมรัฐบาล ปรากฎการณ์การขับ 20 สส.สายตรง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ออกจากพรรคพลังประชารัฐ อย่างเป็นทางการ โดยทั้งหมดจะย้ายไปสังกัด “พรรคกล้าธรรม” ที่จัดตั้งเอาไว้รองรับอยู่แล้ว โดยพรรคกล้าธรรมมี สส. อยู่แล้ว 4 ที่นั่ง เมื่อรวมกับกลุ่ม 20 สส.จะทำให้มี สส. 24 ที่นั่ง 

ทำให้การเมืองในปี 2568 ตัวเลขของ “พรรคร่วมรัฐบาล” จะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ 20 สส.พรรคพลังประชารัฐ พ่วงอยู่ในฝ่ายร่วมรัฐบาล ทั้งที่สถานะ สส.พรรคพลังประชารัฐ สายตรง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จัดอยู่ในขั้วพรรคฝ่ายค้าน

จับตา“ขั้วแค้น”เปิดหน้าค้านเต็มตัว

ด้าน “ขั้วฝ่ายแค้น” เมื่อ “บิ๊กป้อม” ตัดสินใจยอมเสีย 20 สส. เพื่อรักษา “กล่องดวงใจ” เอาไว้ สร้างรอยแผลในใจให้ตัวเอง แต่ “ขุนพลบ้านป่า” ไม่ยอมถอยจนล้มกระดาน เพียงแต่รักษา “ขุนศึก” เอาไว้ เพื่อเดินเกมในกระดานต่อไป

ก่อนหน้านี้ “บิ๊กป้อม” จัดตั้งศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อจัดเป็นศูนย์ในการทำงานให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และทีมสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐ ในการนำข้อมูลข่าวสารไปดำเนินการ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน

ศูนย์นโยบายและวิชาการดังกล่าว มี “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” อดีตรมว.พลังงาน เป็นหัวหน้าทีม “อุตตม สาวนายน” อดีตรมว.คลัง “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” อดีตรมว.คลัง เป็นทีมงาน คอยลิสต์ประเด็นโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

โดยที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวสำคัญ อาทิ แสดงจุดยืนให้ยกเลิก เอ็มโอยู 2544 เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา คัดค้านการขึ้นภาษี VAT 15% คัดค้าน พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เพื่อสกัดการรัฐประหาร เป็นต้น

จับอาการพรรคพลังประชารัฐที่เต็มไปด้วย “ทีมเทคโนแครต” ยังหวังล้มรัฐบาลเพื่อไทย แต่อาจจะกลับมาอยู่ในรูปแบบของการตรวจสอบการทำงานอย่างจริงจัง ไม่เน้นลักไก่ใช้ประเด็นการเมืองมาฟ้องร้อง

ทั้งหมดคือภาพรวมของกลเกมการเมืองรอยต่อปี 2567 ก่อนจะถึงปี 2568 ซึ่ง “ขุนพลการเมือง” ของแต่ละพรรคกำลังเตรียมความพร้อมรุกไล่รัฐบาล ที่เพิ่งประกาศเดิมพันนโยบายภาค 2 โอกาส ที่ทำได้จริง