คสช.ขนอาวุธโชว์ทูตทหาร

คสช.ขนอาวุธโชว์ทูตทหาร

คสช.ขนอาวุธสงครามที่ยึดได้รอบ1เดือน โชว์ผู้ช่วยทูตทหาร 11ประเทศ รวมผู้ต้องหากว่า600คน

พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบ (ผบ.กกล.รส.) เป็นประธานแถลงข่าวผลการจับกุมอาวุธสงคราม,เครื่องกระสุน,และยุทธภัณฑ์ ในห้วง 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.ถึงวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้เชิญผู้ช่วยทูตทหาร 11 ประเทศมาร่วมเป็นสักขีพยาน ที่กองทัพภาคที่ 1 เมื่อวานนี้(29 มิ.ย.)

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่คสช.เข้ามาบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากผลกระทบจากสังคมที่สร้างความความเกลียดชังกันอย่างรุนแรง ถึงขั้นใช้อาวุธกระทำต่อกันจนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก สร้างความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะการใช้อาวุธในเขตชุมชนเมือง ซึ่งทุกประเทศจะต้องไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ คสช.ต้องเร่งดำเนินการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย ติดตาม จับกุม ตรวจค้น แหล่งซุกซ่อน รวมถึงมาตรการขอความร่วมมือ ส่งมอบอาวุธให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

สำหรับผลการติดตามจับกุมมีผู้ต้องรวม 623 คน และผลการตรวจยึดอาวุธสงครามในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ของ กกล.รส. ภาค 1-4 ประกอบด้วย ปืนเล็กยาว และปืนกลชนิดต่างๆ จำนวน 144 กระบอก ปืนยาว ปืนลูกซอง จำนวน 258 กระบอก ปืนพก ชนิดต่างๆ จำนวน 2490 กระบอกก เครื่องยิงลูกระเบิด แบบเอ็ม 79 จำนวน 23 เครื่องยิง เครื่องยิงจรวด อาร์พีจี จำนวน 9 เครื่องยิง ลูกระเบิดขว้าง ชนิดต่างๆ จำนวน 330 ลูก และวัตถุระเบิด ชนิดต่างๆ เช่น ระเบิด ทีเอ็นที 134 รายการ

ในส่วนของเครื่องกระสุน ประกอบด้วย กระสุนปืนเล็กยาว และปืนกลชนิดต่างๆ จำนวน 20,999 นัด กระสุนปืนยาว และปืนลูกซอง จำนวน 557 นัด กระสุนปืนพก ชนิดต่างๆ จำนวน 33,200 นัด กระสุนระเบิด เอ็ม-79 จำนวน 166 นัด ลูกจรวจอาร์พีจี จำนวน 57 ลูก และยุทมภัณฑ์ อื่นๆ เช่น เสื้อเกราะ จำนวน 426 รายการ

สำหรับอาวุธ กระสุน และยุทธภัณฑ์ ที่นำมาแถลงข่าวในครั้งนี้เป็นเพียงการปฏิบัติการของ กกล.รส. กองทัพภาคที่ 1 และบางส่วนของ กกล.รส. กองทัพภาคที่ 2 (ขอนแก่นโมเดล) เท่านั้น

ชี้อาวุธโยงก่อเหตุทางการเมือง

พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า อาวุธทั้งหมดที่จับได้มีลักษณะคละเคล้ากันไป บางส่วนมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ปี 2553 บางส่วนเป็นของใหม่ อย่างไรก็ตาม อาวุธทุกชิ้นจะต้องมีการตรวจสอบประวัติ เพื่อนำไปรวบรวมกับผลการสืบสวน จะทำให้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์มากกว่านี้

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า อาวุธและเครื่องกระสุนต่างๆ ที่นำมาแสดงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าสังคมไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติพอสมควร คนไทยด้วยกันกับมีแนวคิดจะทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง และหวังว่าในอนาคตพฤติกรรมเหล่านี้จะไปหมดจากแผ่นดินไทย พร้อมทั้งอยากให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของ คสช. ที่ทำงานอย่างบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ตั้งแต่กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)และฝ่ายปกครอง

ด้าน พล.ท.ธีรชัย กล่าวถึงจำนวนอาวุธสงครามที่นำมาแสดงว่า ทั้งหมดเป็นจำนวนอาวุธสงครามที่จับได้เพียง 3 ใน 4 ส่วนที่สามารถนำมาแถลงข่าวได้ ซึ่งจะมาจากกองทัพภาคที่ 1 และบางส่วนของกองทัพภาคที่ 2 เท่านั้น ยังเหลือในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3,4 ที่ยังไม่ได้นำมาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนที่มีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุความไม่สงบทางการเมือง รวมถึงขอนแก่นโมเดล บางส่วนถูกนำมาทิ้งไว้ เพราะผลจากการกดดันจากเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้รู้สึกพอใจในระดับหนึ่ง โดยตั้งเป้าจะกวาดล้างให้หมดทุกพื้นที่ และนี้หน่วยข่าวแจ้งว่า ในหลายพื้นที่ยังมีอาวุธสงครามอยู่

ด้าน พล.ต.ประวิทย์ หูแก้ว เสนาธิการ กกล.รส.กองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ขอนแก่นโมเดล เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า มีขบวนการต่อต้านและเตรียมการทำร้ายประชาชน แต่เป็นเพียงการเริ่มต้น ซึ่งปัจจุบันนี้ทาง คสช. มีโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ในทุกพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจ ตั้งแต่แกนนำ ประชาชนทุกภาคส่วน ถือได้ว่าผลตอบรับดีมาก และตนมั่นใจว่าประเทศไทยจะปราศจากขอนแก่นโมเดล

ภาค4โชว์ผลการกวาดล้างอาวุธ14จว.ใต้

ที่สโมสรรื่นฤดี ค่ายวชิราวุธ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 4 อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 8 และ 9 ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ นายทหารระดับสูง ผู้ว่าราชการจังหวัดและตัวแทนใน 14 จังหวัดภาคใต้ ได้นำอาวุธที่เจ้าหน้าที่ได้รับมอบและตรวจยึดมาได้ตามคำสั่งของ คสช.มาแถลงข่าว

แบ่งออกเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนแต่พกพาโดยผิดกฎหมาย อาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียน อาวุธปืนสงครามชนิดต่างๆเช่น เอ็ม16 อาร์ก้า คาร์บิน เป็นต้นรวมไปถึงวัตถุระเบิดทั้งระเบิดแบบขว้างสังหาร ลูกปืน ค.60 ลูกระเบิดเอ็ม 79 และเครื่องกระสุนชนิดต่างๆเกือบ 5,000 นัด

หลังวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ให้โอกาสการส่งคืนอาวุธสงครามและวัตถุระเบิด โดยแต่ละกองบังการตำรวจภูธรจังหวัด ได้นำเอาอาวุธปืนของกลางในการกวาดล้างอาวุธปืนสงครามและวัตถุระเบิดภายใต้คำสั่ง คสช. ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้รวมเกือบ 1,000 กระบอก

พล.ท.วลิต กล่าวว่า สำหรับอาวุธสงคราม อาวุธปืน เครื่องกระสุน และยุทธภัณฑ์ที่ทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้ มาทั้งจากกลุ่มกำลังติดอาวุธ ผู้มีอิทธิพล ผู้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ผิดกฎหมาย และการตรวจพบจากการลักลอบนำมาทิ้งไว้ในหลายพื้นที่ ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มกองกำลังติดอาวุธกลุ่มต่าง ๆ มีอยู่จริงและเตรียมการที่จะก่อเหตุรุนแรง และกระทำผิดที่กฎหมาย ทั้งต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอาวุธที่ตรวจยึดได้นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยึดไปอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้กลับคืนมาเพียงบางส่วน