ปปช.จี้คู่สัญญารัฐเร่งยื่นแบบบช.1ก่อนถูกหั่นสิทธิ
ป.ป.ช.จี้คู่สัญญารัฐ เร่งยื่นแบบ"บช.1" ก่อนถูกหั่นสิทธิ พบยังเฉยหลายหมื่นบัญชี
นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป.ป.ช.กล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมาการจัดหาสินค้าและบริการไม่ว่าด้วยวิธีการจัดซื้อหรือการจัดจ้าง หรือวิธีอื่นใดของหน่วยงานของรัฐทุกแห่งนั้น เป็นการดำเนินการโดยใช้เงินงบประมาณ เงินกู้ เงินช่วยเหลือ หรือรายได้ของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นเงินของแผ่นดิน รวมทั้งการที่รัฐให้สิทธิในการดำเนินกิจการบางอย่างโดยการให้สัมปทาน อนุญาตหรือกรณีอื่นใด ในลักษณะเดียวกันก็เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเป็นกิจการของรัฐ ฉะนั้นการจัดหาสินค้าและบริการรวมทั้งการให้สิทธิดังกล่าว จึงต้องกระทำอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ
นายภักดี กล่าวว่า แต่เนื่องจากการดำเนินการที่ผ่านมามีการกระทำในลักษณะการทุจริตแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบจากโครงการของรัฐ ซึ่งบุคคลหรือนิติบุคคลที่เข้ามาเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐอาจนำเงินซึ่งได้รับจากการเป็นคู่สัญญาดังกล่าวไปดำเนินการในทางที่ไม่ชอบ อาทิ จ่ายเพื่อให้มีการสมยอมในการเสนอราคาเพื่อไม่ให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ตนได้เป็นผู้มีสิทธิเป็นคู่สัญญา รวมทั้งเพื่อเป็นการตอบแทนจากการที่ได้เป็นคู่สัญญา การจ่ายเงินลักษณะเช่นนี้เป็นผลให้ภาระต้นทุนในการดำเนินการโครงการของรัฐเพิ่มสูงขึ้น และเป็นการแสวงหาประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินซึ่งเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ
นอกจากนั้น ในบางกรณี ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็มีส่วนร่วมหรือมีส่วนสนับสนุนในการกระทำความผิด หรือละเว้นไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ อันมีผลทำให้ปัญหาในเรื่องนี้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงมีประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำและแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายของโครงการที่บุคคลหรือนิติบุคคลเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2554 ประกาศออกมาและมีผลใช้บังคับไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2555 เพื่อใช้ประกอบในสัญญา 4 ประเภท คือ 1.สัญญาเกี่ยวกับการจัดหาพัสดุหรือการพัสดุตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ หรือระเบียบ ข้อกำหนด กฎ ข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานของรัฐที่ทำการจัดซื้อจัดจ้าง 2. สัญญาสัมปทาน 3. สัญญาให้ทุนสนับสนุนเพื่อการวิจัย 4. สัญญาให้ทุนสนับสนุนเพื่อดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยสัญญาดังกล่าวจะต้องเป็นสัญญาที่มีการจัดทำ(ลงนาม) ระหว่างบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ในสัญญาที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2,000,000 บาท (สองล้านบาท) ขึ้นไป ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการรับจ่ายของโครงการต่อกรมสรรพากร โดยยื่นพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคลของปีภาษีนั้น แล้วแต่กรณี โดยแยกเป็นรายโครงการตามสัญญา แต่จนถึงขณะนี้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ายังมีคู่สัญญารัฐไม่ดำเนินการยื่นแบบ(บช.1)ดังกล่าว อยู่จำนวนสูงถึงหลายหมื่นบัญชีด้วยกัน
นายภักดี กล่าวว่า ขอแจ้งเตือนว่าหากบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐผู้ใดยังไม่ยื่นแบบบัญชีแสดงรายการรับจ่ายของโครงการ (บช.๑) หรือยื่นยังไม่ถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนของสัญญาอาจเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติการเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐได้ จึงขอให้บุคคลหรือนิติบุคคลดังกล่าวดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว