'แรมโบ้อีสาน' เผยสาเหตุเปลี่ยนข้างจาก 'ทักษิณ' มาหนุน 'บิ๊กตู่'
"แรมโบ้อีสาน" เปิดใจถึงสาเหตุเปลี่ยนข้างจาก "ทักษิณ" มาหนุน "บิ๊กตู่"
ในบรรดาอดีตนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่โดน “พลังดูด” แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยามากที่สุดน่าจะเป็น “สุภรณ์ อัตถาวงศ์” เจ้าของฉายา “แรมโบ้อีสาน” ที่วันนี้เขาพูดเต็มปากเต็มคำแล้วว่าพร้อมสนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง
ความจริงข่าวเรื่อง “สุภรณ์” ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.นครราชสีมา จะไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ มีออกมาตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน ตอนนั้นมีข่าวว่าอดีตส.ส.โคราช ประมาณ 10 คนได้จับมือกันในการเจรจาต่อรองกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง “สุภรณ์” ก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ข่าวช่วงนั้นไม่เป็นประเด็นมากนัก จนกระทั่งมีข่าวเรื่องความพยายามของ “กลุ่มสามมิตร” ในการดูดแกนนำมวลชน “ฝั่งทักษิณ” กรณีของ “สุภรณ์” ก็ครึกโครมขึ้นมา
คนเพื่อไทยหลายคนโดยเฉพาะแกนนำคนเสื้อแดงออกมาให้สัมภาษณ์ “อัด” สุภรณ์ ในทำนองเปลี่ยนจุดยืน แถมมีการพูดไปถึงครั้งที่สุภรณ์เคยไปจุดธูปสักการะย่าโมและ “สาบาน” ว่าจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต หลังถูกคุมตัวอยู่ในค่ายทหาร 7 วัน หลังการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
แน่นอนผู้คนย่อมแปลกใจ “อะไร” ทำให้ “แรมโบ้อีสาน” ผู้ที่เคยทุ่มเทให้ “ตระกูลชินวัตร” และพรรคมาตลอด ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาเป็นพรรคเพื่อไทย ตีตัวออกห่าง
“สุภรณ์” เป็นหนึ่งสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากการพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่และถูกสลายการชุมนุมในปี 2552 และ 2553 “สุภรณ์” เป็นแกนนำคนหนึ่งที่ต้องหนีไปตั้งหลักทั้งสองครั้ง สุภรณ์บอกว่าครั้งแรกเขาหนีไปที่ประเทศลาวและครั้งที่สองไปกัมพูชา
ย้ายพรรคไม่เกี่ยวกับทหาร แต่เกิดจากปัญหาในพรรค
“สุภรณ์” ให้สัมภาษณ์แบบเปิดใจกับ “คม ชัด ลึก” ว่า สาเหตุที่เขาออกจากพรรคเพื่อไทยเพราะ “น้อยเนื้อต่ำใจผู้ใหญ่ในพรรค” และยืนยันว่า “ไม่เกี่ยวกับทหาร”
สุภรณ์ เล่าว่า ความจริงเขาคิดจะลาออกตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 โดยตอนนั้นเกือบจะไปแถลงลาออกที่พรรค แต่ถูกทางพรรคขอร้องเอาไว้
“มันเป็นความเจ็บปวดลึกๆ ที่ผ่านมาผมทุ่มเทให้พรรคมาตลอด แต่สิ่งที่ผมและตระกูลอัตถาวงศ์ได้รับจากพรรคทำให้ผมเจ็บปวด และก็เหมือนได้จังหวะหลังจากทหารยึดอำนาจผมจึงประกาศเลิกเล่นการเมืองและไปลาออกจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 ขอย้ำว่าไม่เกี่ยวกับทหาร ไม่เกี่ยวกับว่าผมเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร 7 วันแล้วออกมาก็เปลี่ยนใจ ไม่เกี่ยวเลย แต่ที่ออกเพราะปัญหาในพรรค”
สุภรณ์ ย้อมถามถึงคนที่ออกมาโจมตีเขาว่า “คนที่ออกมาด่า รู้ไหมว่าผมโดนอะไรในพรรค ผมอยู่พรรคนี้มาตั้งแต่ต้น ไม่เคยคิดย้ายพรรค”
ไปพรรคพลังประชารัฐ 100 เปอร์เซ็นต์
ถามว่าตอนนี้น่าจะ 100 เปอร์เซ็นต์แล้วใช่ไหมว่าจะไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ สุภรณ์ บอกว่า ก็น่าจะบอกได้แบบนั้น อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าเขาและพี่ชาย คือ “สัมภาษณ์ อัตถาวงศ์” อดีต ส.ส.โคราช ที่มาลงสมัคร ส.ส.แทนในช่วงที่สุภรณ์ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จะลงสมัคร ส.ส.อย่างไร ก็แล้วแต่ “ผู้ใหญ่” จะว่าอย่างไร
ถอนคำสาบานย่าโม
ส่วนเรื่องคำสาบานต่อย่าโมว่าจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิตนั้น สุภรณ์ บอกว่า จริงๆ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2557 ที่ไปกราบย่าโมพร้อมกับแม่ เขาไม่ได้กล่าวคำสาบานต่อย่าโมว่าจะเลิกเล่นการเมือง เพียงแต่ไปกราบขอบคุณที่ท่านคุ้มครองให้ปลอดภัยกลับมา
“ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่ได้สาบานอะไรต่อย่าโมหรอก ตอนที่ไปจุดธูปกราบท่านก็เพียงแต่ขอบคุณที่ท่านคุ้มครองให้ผมกลับมาอย่างปลอดภัย (หลังถูกทหารคุมตัวไว้ 7 วัน) แต่ตอนมาให้สัมภาษณ์ก็บอกตรงๆ ว่ามันเหมือนกลอนพาไป เพราะตอนนั้นมีความเจ็บแค้นอยู่ในใจจากเรื่องในพรรค เลยบอกว่าสาบาน แต่เมื่อสังคมเข้าใจไปแล้วว่าผมสาบาน ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมก็จะไปถอนคำสาบาน ตอนนี้กำลังดูอยู่ว่าจะไปวันไหน”
ไม่อยู่ นปช. เพราะไม่ยอมรับ “ธิดา”
“สุภรณ์” เป็นแกนนำเสื้อแดงคนหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็น “ฮาร์ดคอร์” ในช่วงต้นปี 2557 เขาแยกตัวจากกลุ่มนปช.มาตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) มีการระดมคนเป็นหมื่นมาฝึกอบรม ประกาศปกป้องรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และพร้อมลุกขึ้นสู้หากมีการยึดอำนาจ
สุภรณ์ บอกว่า ที่เขาแยกตัวมาตั้ง อพปช. เพราะไม่ยอมรับการเข้ามาเป็นประธานนปช.ของ “ธิดา ถาวรเศรษฐ” แต่ก็ปฏิเสธว่าที่เขาถูกเรียกว่าเป็น “ฮาร์ดคอร์” นั้น จริงๆ ไม่ใช่เลย ตรงกันข้ามในการชุมนุมแต่ละครั้งเขาจะมีบทบาทในการเจรจาต่อรองกับฝ่ายเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงด้วย
“การฝึกอบรบ อพปช. ก็เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ตอนนั้นกลุ่ม กปปส.มีการตั้งการ์ดขึ้นมา ผมจึงรวบรวมอาสาสมัครมาแสดงให้เห็นว่าเราก็มีกำลังเหมือนกัน ไม่ได้มีเจตนาจะใช้ความรุนแรงและไม่มีอาวุธ จะรุนแรงได้อย่างไรมีแต่คนแก่กับไม้ไผ่เท่านั้น และเวลาจะมีการฝึกอบรมก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทราบด้วย เจตนาตอนนี้คือทำเพื่อเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น”
ทิ้ง “ทักษิณ” หนุน “พล.อ.ประยุทธ์”
สุภรณ์ เล่าว่า เขาสนใจการเมืองตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยเป็นอาสาสมัครช่วยนักการเมืองหาเสียงตั้งแต่สมัยเรียน และเขาเคยช่วยงานการเมืองทักษิณตั้งแต่ครั้งที่ทักษิณลงสมัคร ส.ส.ครั้งแรกที่เขต 2 กทม. เมื่อปี 2538 ในนามพรรคพลังธรรม เพราะเป็นเขตที่เขาเคยทำงานให้ “พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม และอดีต ส.ส. กทม. และมีส่วนทำให้ “ทักษิณ” ชนะเลือกตั้งในครั้งนั้น
ถามว่าจะเรียกว่าได้หรือไม่ว่าตอนนี้ “สุภรณ์” เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เรียบร้อยแล้ว ไม่เลือก “ทักษิณ” แล้ว แรมโบ้อีสาน ตอบแบบไม่อ้อมค้อมว่า“พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง ท่านตั้งใจเข้ามาทำงาน และท่านก็เป็นคนโคราชด้วย ท่านก็ไม่ใช่คนไม่ดี ฉะนั้นจะเสียหายอะไรถ้าผมจะสนับสนุนลูกหลานย่าโม ที่จะช่วยพัฒนาโคราชได้ ทำให้บ้านเมืองเดินไปได้ ถ้าท่านมาตามกติกา ผมก็พร้อมจะสนับสนุนท่าน”
สุภรณ์ ย้ำอีกครั้งซึ่งสะท้อนถึงปมที่อยู่ในใจว่า “ที่ไหนที่ให้เกียรติเรา ที่ไหนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจ ก็เลือกตรงนั้น”
สุภรณ์ บอกว่า นับแต่เขาถูกปล่อยตัวออกมาจากค่ายทหารหลังยึด คสช.อำนาจเมื่อปี 2557 ก็ไม่เคยมีคนในพรรคโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบใดๆ รวมทั้งเมื่อครั้งที่แม่และภรรยาป่วยและไม่เคยมีผู้ใหญ่ในพรรคติดต่อไปประชุมหรือพูดคุยในพรรค ยิ่งแสดงว่าเขาไม่ใช่คนในพรรคแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าเมื่อเขาจะไปอยู่พรรคอื่นทำไมต้องออกมาโจมตีกันมากมาย
“ตอนที่ผมออกมาจากค่ายทหารแล้วประกาศเลิกเล่นการเมือง คนในพรรคก็ออกมาโพสต์ด่า ส่งข้อความมาด่า ตอนนั้นมีการไปพูดถึงขนาดว่าผมเอาชื่อแกนนำไปให้ทหารไล่ล่า ซึ่งไม่เป็นความจริง วันนี้พอผมจะไปอยู่พรรคอื่นก็ออกมาด่า ผมไม่เข้าใจในเมื่อผมก็ไม่ได้เป็นคนในพรรคแล้ว จะมาด่าผมทำไม จะไปไหนก็เป็นเรื่องของผม”
เหล่านี้คือความในใจของ “แรมโบ้อีสาน”
รอดูว่าการขยับกลับเข้าสู่การเมืองของ “แรมโบ้อีสาน” จะสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างไรหรือไม่ และสุดท้ายใครจะได้รับบทเรียน “สุภรณ์” หรือพรรคเพื่อไทย ??
=================
โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์