อดีตพุทธะอิสระ นั่งวิลแชร์มาศาล หลังผ่าตัด-ป่วยหมอนรองกระดูก-เข่าเสื่อม พร้อมรับสารภาพศาลสั่งสืบเสาะประวัติก่อน ขณะที่พุทธะอิสระ แจกเอกสาร แจงพร้อมรับผิดชอบ
ที่ห้องเวรชี้ ชั้น 1 (บริเวณใต้ถุน) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.00 น. นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยใน จ.นครปฐม ฉายาพุทธะอิสระ และแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ปี 2557 จำเลยคดีร่วมกันประทุษร้ายตำรวจสันติบาลในม็อบ กปปส.แจ้งวัฒนะ ได้เดินทางมาพร้อมกับ ทนายความ เพื่อสอบคำให้การในคดีหมายเลขดำ อ.2498/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุวิทย์ ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ ให้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 , 310 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 15 ส.ค.61 ที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านี้ นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ จำเลย ได้ขอเลื่อนนัดการสอบคำให้การมาแล้ว 1 ครั้งเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมาเนื่องจากมีอาการป่วยหมอนรองกระดูกรุนแรง ภายหลังที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ วันที่ 15 ส.ค.เมื่อได้รับการประกันตัวคดีนี้ 200,000 บาท ซึ่งศาลก็กำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล
ขณะที่วันนี้ นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ จำเลย ซึ่งขาดความเป็นพระตามกฎหมายแล้ว ก็สวมชุดสีขาวและนั่งรถเข็นวิลแชร์มาเนื่องจากมีอาการป่วยหมอนรองกระดูกรุนแรงซึ่งกำลังทำการรักษาและพักฟื้น รวมทั้งเพิ่งผ่าตัดดวงตาข้างขวา และยังมีปัญหาข้อเข่าเสื่อมด้วย โดยมีบุคคลใกล้ชิดติดตามดูแลประคองลงจากรถตู้ ซึ่งมีลูกศิษย์ตามให้กำลังใจจำนวนมากด้วย
ทั้งนี้เมื่อถึงเวลานัด ศาล ได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้ นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ จำเลย พร้อมทนายความ ฟังจนเป็นที่เเข้าใจถึงพฤติการณ์และข้อหาแล้วสอบถามว่าจะให้ปฏิเสธหรือรับสารภาพ จำเลย ก็แถลงให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์แล้ว จึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่คุมประพฤติ ดำเนินการสืบเสาะประวัติและรายละเอียดเพื่อประกอบการพิพากษา โดยกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 29 ต.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมา เวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ จึงได้ให้ นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ จำเลยไปรายงานตัว ต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกันอาคารศาลอาญาก่อน
ขณะที่ น.ส.วิทยารัตน์ ชาติปรีชากุล ผอ.สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 เปิดเผยว่า คดีนี้ศาลสอบคำให้การจำเลยแล้วให้การรับสารภาพ ศาลจึงสั่งให้จำเลย เข้าสู่กระบวนการสืบเสาะและพินิจ โดยให้สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7 ทำหน้าที่สืบเสาะดูรายละเอียดทุกอย่างตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ทั้ง ประวัติ สุขภาพ และพฤติการณ์ทางคดีแล้วรายงานเพื่อประกอบการพิพากษาของศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่คุมประพฤติแล้ว นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ จำเลย ได้แจกคำแถลงที่พิมพ์เป็นเอกสาร ต่อสื่อมวลชน มีเนื้อหาระบุว่า เนื่องด้วยอาตมภาพในฐานะผู้นำการชุมนุมของประชาชนเวทีแจ้งวัฒนะขอแถลงต่อศาลว่า พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมสั่งสอนไว้ว่าธรรมใดเกิดแต่พระองค์ทรงแสดงเหตุและความดับเหตุแห่งธรรมนั้น การที่มีชาย 2 คนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ถูกการ์ดจิตอาสารุมทำร้ายจนถึงขนาดบาดเจ็บแม้อาตมาจะไม่รู้ไม่เห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แม้ผู้อื่นจะเป็นผู้กระทำก็ตามและพร้อมที่จะช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายตามกำลังความสามารถที่ตนมี จึงกราบเรียนความข้างต้นต่อศาลที่เคารพ
อย่างไรก็ดีคดีนี้ สำหรับพฤติการณ์แห่งคดีสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ.57 เวลากลางวัน ขณะมีการตั้งเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส.บริเวณหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ถ.แจ้งวัฒนะ จำเลยซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมกับกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อจำนวนมากกว่า 5 คนขึ้นไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นการ์ดคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณเวทีปราศรัยที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบูรพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1-2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปสืบสวนหาข่าว โดยใช้กำลังจับผู้เสียหายทั้งสองปิดตา มัดมือไพล่หลัง ใช้กำลังประทุษร้ายเป็นเหตุให้ ร.ต.ต.สมคิด ได้รับอันตรายสาหัส กระดูกซี่โครงหัก ตับฉีกขาด ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 6 สัปดาห์ ส่วน ด.ต.วชิรพงศ์ มีบาดแผลฟกช้ำหลายแห่ง ฟันซ้ายล่างหัก ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 10 วัน รวมทั้งทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองมูลค่ารวม 60,900 บาทถูกประทุษร้ายสูญหายไป
นอกจากนี้ จำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขู่ให้ผู้เสียหายทั้งสองบอกรหัสปลดล็อคโทรศัพท์มือถือ และ ให้บอกว่า เป็นผู้ใด เข้ามาบริเวณที่ชุมนุมเพื่ออะไร เมื่อไม่ยอมบอกพวกจำเลยก็ใช้กำลังประทุษร้ายและข่มขู่ว่าจะเอาผู้เสียหายทั้งสองไปลอยน้ำ จนผู้เสียหายทั้งสองต้องจำยอมตามที่พวกของจำเลยข่มขู่
โดยจำเลย ซึ่งเป็นผู้ควบคุมการชุมนุมมีอำนาจสั่งการให้พวกของจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ โดยจำเลยทราบว่าพวกของจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองไว้นานหลายชั่วโมง แต่กลับเพิกเฉยไม่สั่งให้ปล่อยตัวไป
เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำ อ.247/2561 (คดีกบฏ กปปส.) ด้วย