ศาลให้ประกัน 'ธาริต-พวก' คนละ 4 แสนบาท คดีสอบสวน 'มาร์ค-สุเทพ' สลายนปช.ไม่ชอบ
"ศาลอุทธรณ์" พิพากษากลับจำคุก "ธาริต - 3 พงส.ดีเอสไอ" 2 ปี ผิดมาตรา 157 กลั่นแกล้งแจ้งข้อหา "มาร์ค-สุเทพ" ฆ่าประชาชน ด้าน “สุเทพ” ย้ำเจตนากลั่นแกล้ง
เมื่อวันที่ 5 มี.ค.63 ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.310/2556 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี/อดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) , พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ในฐานะอดีตหัวหน้าชุดคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1- 4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อเดือน ก.ค.54 - 13 ธ.ค.55
ดีเอสไอ ได้สรุปสำนวนดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าโดยเจตนาและเล็งเห็นผล จากการออกคำสั่ง ศอฉ. ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่ชุมนุมเพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งนายกฯ ซึ่งโจทก์เห็นว่าการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง โดย นปช.ก่อความไม่สงบ ก่อการร้าย โจทก์ได้มอบนโยบายชัดเจนว่าให้สลายการชุมนุมโดยหลีกเลี่ยงความสูญเสีย เพื่อระงับความเสียหายของบ้านเมือง โจทก์ไม่ต้องรับผิด เมื่อการชุมนุมยุติลง ดีเอสไอก็ได้สอบสวนดำเนินคดีแกนนำและชายชุดดำข้อหาก่อการร้ายด้วย
ต่อมานายธาริต จำเลยที่ 1 ยอมตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จำเลยทั้งสี่จึงร่วมกันแจ้งข้อหาสั่งฆ่าประชาชน กลั่นแกล้งโจทก์สนองความต้องการของรัฐบาล ซึ่งดีเอสไอไม่มีอำนาจ เพราะโจทก์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องเป็นการวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งศาลชั้นต้น พิพากษาเมื่อวันที่ 25 ก.ย.61 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ โดยเห็นว่าพยานโจทก์ที่นำสืบมานั้น ไม่เห็นว่าจำเลยที่ 1 จงใจกลั่นแกล้งโจทก์อย่างไรบ้างในการแจ้งข้อกล่าวหา โดยการสอบสวนทำในรูปของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ มีจำเลยที่ 2-4 และอัยการเข้าร่วมเป็นคณะทำงานซึ่งแต่งตั้งขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง (ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปี 2553) และคณะกรรมการไม่มีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเพราะต้องส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อ อีกทั้งจำเลยทั้งสี่เป็นพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกับอัยการที่ร่วมสอบ จึงไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสี่กระทำผิดตามฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
ขณะที่วันนี้ "นายธาริต" อดีตอธิบดีดีเอสไอ และจำเลยร่วมกลุ่มพนักงานสอบสวนดีเอสไอเดินทางมาศาลพร้อมฟังคำพิพากษา อย่างไรก็ดี "ศาลอุทธรณ์" ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว มีประเด็นวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยที่ 1-4 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งโจทก์เบิกความว่า การชุมนุม ของ นปช. มีความรุนแรงขึ้น จำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
โดยนายอภิสิทธิ์ โจทก์ที่ 1 ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้งนายสุเทพ โจทก์ที่ 2 เป็น ผอ.ศอฉ. ให้ทหารปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์ที่ 2 มีการปะทะกันระหว่างทหารกับผู้ชุมนุม มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต มีชายชุดดำกองกำลังติดอาวุธ เมื่อจำเลยกับดีเอสไอ สืบสวนสอบสวนกรณีผู้ชุมนุมมีอาวุธเป็นคดีก่อการร้าย อัยการยื่นฟ้องต่อศาล เมื่อมีการเปลี่ยนเป็นรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการตั้งแกนนำ นปช. เป็นข้าราชการการเมือง ซึ่งเรื่องนี้ดีเอสไอต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ แล้วหากมีมูลต้องส่งอัยการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป แต่จำเลยที่ 1-4 กลับเรียกโจทก์ทั้งสองไปแจ้งข้อหา
โดยระบุข้อกล่าวหาโจทก์ออกคำสั่งลับให้ใช้อาวุธขอคืนพื้นที่ ใช้ข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนเพื่อให้เห็นว่ามีแต่เจ้าหน้าที่มีอาวุธ พร้อมระบุ นปช. ชุมนุมโดยสงบไม่ใช้อาวุธ ทั้งที่โจทก์ปฏิบัติตามหน้าที่ราชการ จำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ตามความต้องการของฝ่ายการเมือง ซึ่งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ต่อเวลาวาระของนายธาริต จำเลยที่ 1 ออกไปอีก 1 ปี ส่วนคดีที่กล่าวหาโจทก์ทั้งสอง ทั้งศาลชั้นต้น , ศาลอุทธรณ์ , ศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษายกฟ้องแล้วว่าดีเอสไอ ไม่มีอำนาจสอบสวนเรื่องนี้ เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. กระทั่งวันที่ 29 ก.ค.53 พวกจำเลย (ดีเอสไอ) เห็นควรฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ , นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานนปช. กับพวกรวม 25 คน ในข้อหาก่อการร้าย และเห็นว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายให้เกิดความสงบสุข จึงไม่เป็นความผิด แม้ต่อมาศาลอาญามีคำสั่งไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง เสียชีวิตจากกระสุนของเจ้าหน้าที่ทหารที่ยิงรถตู้ของนายสมร ไหมทอง แต่คำสั่งศาลไม่มีข้อความชี้ว่าทหารปฏิบัติผิดแล้วโจทก์จะผิดไปด้วย
การที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ สั่งการจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยทั้งสี่สอบสวนแจ้งข้อหาโจทก์ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลนั้น อีกทั้งจำเลยทั้งสี่ระบุ นปช. ชุมนุมโดยสงบตรงกันข้ามกับความเห็นเดิม เชื่อได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อเอาใจรัฐบาลใหม่ ดังที่ ครม.มีมติให้ต่อวาระของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ที่ 1 ประกาศภาวะฉุกเฉิน โจทก์ที่ 2 ออกคำสั่งกระชับขอคืนพื้นที่ ได้กำหนดแนวปฏิบัติให้เป็นไปตามสถานการณ์ ให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โจทก์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 บัญญัติไว้ชัดเจน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิดอาญาให้ ป.ป.ช. ไต่สวนข้อเท็จจริง หากมีมูลให้ส่งอัยการฟ้องคดีต่อศาล
การที่ดีเอสไอสอบสวนและเรียกโจทก์ไปรับทราบข้อหา ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการกลั่นแกล้ง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การใช้กระสุนจริงไม่ถูกต้อง ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น เห็นว่าแม้โจทก์ที่ 2 อนุญาตใช้กระสุนจริง แต่ไม่ได้อนุญาตให้ใช้กับผู้ชุมนุมโดยตรง ให้ใช้ระงับเหตุร้ายแรงเพื่อความสงบโดยด่วน มีอำนาจทำได้ ไม่เกินเลยอำนาจ พยานหลักฐานจำเลยไม่หักล้างพยานหลักฐานโจทก์ จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
"ศาลอุทธรณ์" จึงพิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม), 200 วรรคสอง (เดิม) เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดตามมาตรา 200 วรรคสอง (เดิม) จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 3 ปี คำเบิกความเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 2 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังญาติของจำเลยที่ 1- 4 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ศาลพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว "นายธาริต" จำเลยที่ 1 , พ.ต.ท.วรรณพงษ์ อดีตหัวหน้าชุดคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 2553 , พ.ต.ต.ยุทธนา และ ร.ต.อ.ปิยะ ในฐานะพนักงานสอบสวน จำเลยที่ 2,3,4 โดยตีราคาประกันคนละ 400,000 บาท ไประหว่างฎีกา โดยไม่กำหนดเงื่อนไข ใดๆ
ทั้งนี้ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศอฉ. ซึ่งวันนี้เดินทางมาศาลในคดีอื่น กล่าวถึงคดีของนายธาริตว่า เรื่องของดีเอสไอกับพวกตนค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาว ถ้าจำกันได้เมื่อปี 2552-2553 นปช. เข้ามาก่อเหตุในกรุงเทพฯ แล้วนายธาริตได้สอบสวนคดีทั้งหมด มีความเห็นสั่งฟ้องนายทักษิณกับบรรดาแกนนำ นปช. ทั้งหลาย เพราะเห็นว่าพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนรวมรวมได้ แสดงให้เห็นว่าฝ่าย นปช. ใช้ความรุนแรง ใช้อาวุธสงครามเป็นเหตุให้มีคนตาย เข้าข่ายก่อการร้ายจึงสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้าย
แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ นายธาริตกับพวกเปลี่ยนท่าทีกลับความเห็นใหม่ หันกลับมาตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์และตนว่าร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ให้ความเห็นว่าการชุมนุมของ นปช. ชุมนุมโดยสงบ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่พวกตนปราบปรามด้วยความรุนแรงเป็นเหตุให้คนตาย สู้คดีกันจนถึงศาลฎีกา พิพากษาว่านายอภิสิทธิ์กับตนปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ในการไต่สวน ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ ส่วนคดีวันนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ เพราะศาลเห็นว่าการกระทำของนายธาริตมีเจตนากลั่นแกล้งนายอภิสิทธิ์กับตน