ศาลถอนคำสั่งคลังปลด 'วิชัย จึงรักเกียรติ' ปมโอนหุ้นชินคอร์ป
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาสั่งถอนคำสั่งคลังปลด "วิชัย จึงรักเกียรติ" อดีต ผอ. ก.ม.สรรพากร พ้นตำแหน่ง ปมให้ความเห็นโอนหุ้นชินคอร์ป ไม่มีหลักฐานได้รับประโยชน์ - ไม่เข้าข่ายผิดวินัย ควรคืนสิทธิประโยชน์พึงมีพึงได้โดยเร็ว
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาคดีระหว่าง นายวิชัย จึงรักเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร ยื่นฟ้อง กระทรวงการคลัง กับพวก รวม 2 ราย กรณีกระทรวงการคลังมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการตามมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และมีคำสั่งลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการ กรณีผู้ฟ้องคดีร่วมกันพิจารณาการรับโอนหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ โดยรับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่นั้น
ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 658/2551 ที่ลงโทษ นายวิชัย จึงรักเกียรติ จากไล่ออกจากราชการเป็นปลดออกจากราชการ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับ และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทาง หรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา โดยควรคืนสิทธิประโยชน์ที่นายวิชัยพึงมีพึงได้ตามกฎหมายแก่นายวิชัยโดยเร็ว เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า สำนักงานกฎหมาย กรมสรรพากร ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีอากร แต่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับการวินิจฉัยตีความกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง ระเบียบที่เกี่ยวกับภาษีอากร
ซึ่งการจะพิจารณาว่าการให้ความเห็นในลักษณะใดเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำผิดวินัยฐานใดหรือไม่ ต้องพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์ในขณะที่ผู้นั้นมีความเห็น ซึ่งกรณีที่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ได้รับโอนหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จาก คุณหญิง พจมาน ชินวัตร นั้น สำนักตรวจสอบภาษีได้พิจารณาว่าการโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการยกหุ้นให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ถือเป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
จากนั้น สำนักกฎหมายได้พิจารณาให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว โดยอ้างอิงแนวความเห็นของกรมสรรพากร และคำพิพากษาศาลฎีกา ที่มีความเห็นสอดคล้องกับกรณีที่สำนักตรวจสอบภาษี อีกทั้งไม่ปรากฏพยานใดในสำนวนคดีที่พิสูจน์ได้ว่า นายวิชัย จึงรักเกียรติ ได้รับประโยชน์ที่มิควรได้จากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
ดังนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าพฤติการณ์ของนายวิชัยเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด และปลัดกระทรวงการคลังมีคำสั่งปลดออกจากราชการนั้น จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อุทธรณ์ของ ป.ป.ช. ไม่อาจรับฟังได้
ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว และกำหนดข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา