'เนตร นาคสุข' เข้าชี้แจง กมธ.กฏหมาย-ศาลฯ ปมสั่งไม่ฟ้อง

'เนตร นาคสุข' เข้าชี้แจง กมธ.กฏหมาย-ศาลฯ ปมสั่งไม่ฟ้อง

"เนตร นาคสุข" เข้าชี้แจง กมธ.กฏหมาย-ศาลฯ ปมสั่งไม่ฟ้อง "บอส วรยุทธ" ยันสั่งคดีตามสำนวน ระบุยินดีให้ ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ขณะที่ "พล.ต.ท.เพิ่มพูน" ยอมรับเมื่อได้ฟังการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ตกใจว่าทำไมกลับคำง่าย

การประชุมกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร วันนี้มีการเรียกผู้ที่เกี่ยวในการสั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา มาชี้แจงต่อกรรมาธิการเป็นครั้งที่ 3 หลังจาก 2 ครั้งแรก ผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้โดยตรงไม่ได้มาชี้แจงด้วยตัวเอง ทำให้มีการเรียกเป็นครั้งที่ 3 หากไม่มา กรรมาธิการจะใช้กฎหมายคำสั่งเรียก เป็นครั้ง
ที่ 4


ปรากฏว่า ที่ประชุมวันนี้ รองอัยการสูงสุด นายเนตร นาคสุข คนที่สั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา มาชี้แจงเป็นครั้งแรก ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของนายเนตร ต่อสาธารณะชน นอกจากนี้ ฝ่ายตำรวจที่ไม่เห็นแย้งคำสั่งอัยการ คือ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ก็มาชี้แจงคดีนี้ด้วยตัวเอง รวมทั้ง พนักงานสอบสวนในคดีนี้ และ ทนายความของ นายวรยุทธ นายสมัคร เชาวภานันท์ ก็มาชี้แจงด้วย


นายเนตร นาคสุข ยืนยันว่า การพิจารณาสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ ตนสั่งตามที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมาทั้งหมดส่วนดุลพินิจที่ตนไม่ฟ้องไม่ได้สั่งนอกสำนวนอะไรเลย ยืนยันว่ามีเอกสารหลักฐานมีการระบุความเห็นในการสั่งคดีไว้ชัดเจน ซึ่งเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธนั้น เพราะว่าได้พิจารณาทั้งสำนวนดูว่าเดิมมีการสั่งคดีไว้อย่างไร ซึ่งครั้งแรกอัยการมีการสั่งฟ้อง ตามความเห็นของ พ.ต.ท.ธนสิทธิ แตงจั่น ที่บันทึกความเร็วไว้ 177 กม./ชม. แต่เมื่อมีการสอบพยานใหม่หลังมีการร้องขอความเป็นธรรม พบว่าผู้ให้ความเห็นความเร็วรถคนเดิม คือ พ.ต.ท.ธนสิทธิ นั้นมาเปลี่ยนคำให้การ ว่าไม่ใช่ 177 เพราะวิธีคิดไม่ตรงกัน เมื่อคำนวณจากวิธีใหม่ ทำให้ความเร็วเหลือแค่ 79 กม. ก็ไม่เกินกฎหมาย ประกอบกับพยานอื่นมาสนับสนุน ทั้งผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม จาก มจพ. ก็ยืนยันว่าความเร็วที่คำนวณจากภาพวิดีโอ ก็เร็วแค่เพียง 76 กม./ชม. ไม่ถึง 80 รวมทั้งมีพยาน 2 ปากที่ได้จากการสอบสวน ได้แก่ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง ให้การว่าความเร็วของนายวรยุทธ ไม่ถึง 80 และพบว่าผู้ตาย เปลี่ยนเลนกระทันหัน จากซ้ายสุด มาขวาสุด เมื่อพยานให้การอย่างนี้ ความเร็วของรถนายวรยุทธ ไม่เกิด 80 ก็เป็นเหตุสุดวิสัย และหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนกฎหมายพอฟ้อง นายวรยุทธ ในความผิดฐานขับรถชนโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงสั่งไม่ฟ้อง และเสนอไปยัง ผบ.ตร และมีการให้ความเห็นชอบ ส่วนเหตุที่นายวรยุทธ ร้องขอความเป็นธรรมมาหลายครั้ง และทำให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมใหม่จนต้องสั่งไม่ฟ้องนั้น ยืนยันว่าตามระเบียบอัยการไม่มีกำหนดว่าจะร้องได้กี่ครั้งเพราะเป็นสิทธิของผู้ร้องทั้งฝ่ายผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และการพิจารณาให้ความเป็นธรรมนายวรยุทธ นั้น ก็มีการพิจารณามาเป็นลำดับชั้น ซึ่งกรณีนี้ สำนักงานกฤษฎีกาของสำนักงานอัยการ เสนอมาว่าเห็นควรพิจารณษให้ความเป็นธรรม


ส่วนที่ยื่นลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมานั้นยืนยันว่าลาออกจริง เพราะผมเป็นคนสั่งคดีนี้ และสังคมก็กดดันสถาบันของผมเพื่อความสบายใจของทุกคนผมจึงขอลาออกเพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรที่ตนทำหน้าที่รับราชการเป็นอัยการอยู่ในองค์กรนี้มาแล้ว 40 ปี


ทั้งนี้กรรมาธิการได้ซักถามอย่างมากว่าคดีนี้มีการปั้นพยานขึ้นมาหรือไม่ซึ่ง นายเนตร นาคสุข ยืนยันว่าพยานที่ปรากฎเป็นไปตามสำนวนการสอบสวน ของพนักงานสอบสวนทั้งสิ้น


ส่วนเหตุผลที่รายงานของ สนช. เข้าไปอยู่ในสำนวนการสอบสวนนั้น นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ชี้แจงถึงการขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธ ที่มี ต่อ สนช. ยืนยันว่า รายงานของ สนช. สอบสวน ที่ส่งให้อัยการ ปกติแล้วไม่ต้องนำเข้าสำนวนก็ได้ แต่ที่มีการนำรายงานของ สนช. เข้าไปในสำนวนนั้น เป็นเพราะหลังจากนั้น ตนเห็นว่าในการฟ้องคดีอาญามันต้องนำสำนวนที่อยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวนเท่านั้นมาพิจารณาตน จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมให้นำ รายงานสอบสวนของ สนช. เข้ามาในสำนวน

นายสิระ ซักถามต่อว่า สำหรับคดีนี้ประชาชนเกิดความสงสัยว่าพยานใหม่ เป็นพยานที่ช่วยเหลือผู้ต้องหารือไม่ รวมทั้งคดีนี้มีการวิ่งเต้นหรือมีผลประโยชน์อยู่ที่ใครหรือไม่ นายเนตร ชี้แจงว่า นายจารุชาติ เป็นพยานตั้งแต่ต้น ส่วนพล.อ.ท. จักรกฤช มาช่วงกลาง ซึ่งเป็นพยานที่เกิดจากการสอบสวนโดยชอบ ส่วนการพิจารณายืนยันว่าพิจารณาตามกระบวนการ พิจารณาจากการสอบสวนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนอื่นเกี่ยวข้อง


นอกจากนั้น กมธ.ได้ซักถามว่า นายเนตรยินดีให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินหรือไม่ ซึ่งนายเนตร ยืนยันว่า ยินดีให้ตรวจสอบ เนื่องจากการพิจารณาคดี เป็นการสั่งคดีตามสำนนวน ไม่มีเรื่องอื่นทั้งสิ้นเป็นคดีที่มาตามระบบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายเนตรชี้แจงเสร็จสิ้น ทาง กมธ.ได้มีมติทำหนังสือเชิญ ประธานกมธ.กฎหมาย สนช. นายธานี อ่อนละเอียด ส.ว. และ นายวรยุทธ โดยเฉพาะนายวรยุทธ ส่งเป็นหนังสือลงทะเบียน หากไม่มาชี้แจงอีกก็จะให้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียก // ทั้งนี้นายสมัคร ทนายความนายวรยุทธ ได้แจงว่า ผู้อำนวยการกองหนังสือเดินทาง ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของนายวรยุทธ ทำให้นายวรยุทธเดินทางมาชี้แจงไม่ได้ เนื่องจากหนังสือเดินทางหมดอายุ และอยู่ต่างประเทศ ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย แต่ทาง กมธ.ยืนยันให้ส่งหนังสือเชิญไปตามภูมิลำเนา

ด้านผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ โดยยกคำสอนของอดีตประธานรัฐสภานายชัย ชิดชอบ ผู้เป็นบิดาขึ้นมากล่าวในที่ประชุมว่า นายชัย สอนตนเองว่า ให้เป็นคนดี นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงอุดมคติที่ตำรวจทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติเพื่ออำนวยความยุติธรรม โดยเฉพาะความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ โดย พล.ต.ท.เพิ่มพูน ระบุว่า สิ่งเหล่านี้ หากตำรวจยึดถือปฏิบัติจะไม่มีเหตุการณ์ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น พร้อมยืนยันว่า หลักคิดของตน คือจะทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย ขอยืนยันว่า ตนเองไม่ได้เลือกปฏิบัติ คนที่จะสั่งตนได้มีเพียงคนเดียว คือ นายชัย ชิดชอบ ผู้เป็นบิดา จากนั้น พล.ต.ท.เพิ่มพูน ได้อธิบายขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนเองต่อคณะกรรมาธิการฯ พร้อมระบุว่า หลังจากตนเห็นสำนวนแล้วไม่มีสิทธิ์สั่งดำเนินการให้เป็นอย่างอื่นได้ จึงต้องเห็นชอบตามที่ผู้ตรวจสำนวนเสนอ


ขณะเดียวกัน ยอมรับว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะดูสำนวนอย่างละเอียดทุกหน้า ส่วนข้อถกเถียงเรื่องความเร็วไม่ตรงกันที่ได้รับฟังจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯวันนี้ก็จะนำเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพิจารณาว่าจะหาข้อพิสูจน์อย่างไร ยอมรับว่า เมื่อได้ฟังการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ตกใจว่า ทำไมกลับคำง่ายไม่เป็นหลักของตนเอง คนที่มีอำนาจหรือเงินมหาศาล ไม่น่าจะสั่งเราได้ ยืนยันว่า จะปรับปรุงวิธีการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา


พล.ต.ท.เพิ่มพูน ยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำอะไรสิ่งใดก็ได้รับสิ่งนั้น คนในตระกูลสอนผมมานานแล้ว"