นายกฯ ยืนยัน รัฐบาลส่งเสริมการค้าออนไลน์ในประเทศ
นายกรัฐมนตรียืนยัน รัฐบาลส่งเสริมการค้าออนไลน์ในประเทศ พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย จนมีความเข้มแข็งมากในลำดับต้นของเอเชียแปซิฟิก
วันนี้ (19 ก.พ. 64) นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงตามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายว่า รัฐบาลไม่กำหนดให้การค้าออนไลน์เป็นอาชีพสำหรับคนไทยนั้น ว่า การค้าออนไลน์นั้นเป็น “ธุรกิจบริการ” อย่างหนึ่งตามบัญชีสาม ท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เป็นธุรกิจที่กฎหมายห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพราะคนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยความเห็นชอบของ คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อนุญาตให้คนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจบริการนี้ในประเทศไทยได้ แต่จนถึงปัจจุบันประเทศไทยก็ยังไม่ได้เปิดให้คนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจบริการนี้ในประเทศไทย
ดังนั้น การกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่กำหนดให้การค้าออนไลน์ให้เป็นอาชีพของคนไทย จึงเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอย ใช้โอกาสที่ประชาชนไม่รู้รายละเอียดของกฎหมาย ใช้ลีลาสำนวนโวหารพูดเรื่องต่าง ๆ อย่างกว้าง ๆ เพื่อทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ไม่ต่างจากการอภิปรายที่ผ่าน ๆ มา
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญและมีนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับการค้าออนไลน์ในประเทศ โดยผู้ให้บริการ Platform ของไทยเอง จะได้ไม่ต้องพึ่งพา Platform ต่างประเทศอย่างเดียวซึ่งทำให้รัฐสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ รัฐบาลยังออกกฎหมายให้จัดเก็บภาษีจาก Platform ต่างประเทศที่ให้บริการในประเทศเหมือนกับที่ต่างประเทศกำลังดำเนินการด้วย
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของรัฐบาล ได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลของประเทศให้เข้มแข็ง จาก 3G เป็น 5G ในปัจจุบัน จนเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันว่าประเทศไทยมีโครงสร้างทางดิจิทัลที่เข้มแข็งมากในลำดับต้น ๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และทำให้การค้าออนไลน์ผ่าน Digital Platforms ต่าง ๆ มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว และประชาชนคนไทยก็ได้ประโยชน์จากการซื้อขายออนไลน์นี้เป็นอย่างมาก โดยเห็นได้ชัดเจนในช่วงโควิด-19