นิติธรรมของไทย เราช่วยกันทำให้ดีเถอะ
เปิดผลวิจัย "นิติธรรม" ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง? ระดับนิติธรรมของประเทศวัดจากอะไรบ้าง?
แต่ผลการศึกษาเชิงประจักษ์มีทั้งที่แสดงให้เห็นว่าระดับนิติธรรมของประเทศมีความสำคัญ และมีงานที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ชัดเจน แต่ถ้าถามคนธรรมดาว่าสังคมที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดีควรเป็นแบบไหน คนจำนวนไม่น้อยคงพูดถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เท่าเทียม และเป็นธรรม ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสังคมอยู่ร่วมกันด้วยหลักนิติธรรม
ความสำคัญของนิติธรรมนี้เองที่ทำให้มีการหาวิธีวัดระดับนิติธรรมของประเทศต่างๆ โดยผู้วัดหวังว่าผลที่ได้จะช่วยให้ประชาชนและผู้บริหารของประเทศเหล่านี้ได้ทราบถึงสถานะของประเทศของตน ช่วยให้เห็นว่าประเด็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขมีเรื่องอะไรบ้าง แต่ละเรื่องมีความรุนแรงมีความเร่งด่วนแค่ไหน
หนึ่งในตัวชี้วัดที่จัดทำมาอย่างต่อเนื่องคือ ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law index) จัดทำโดย World Justice Project ในปี 2563 มีประเทศที่ได้รับการประเมิน 128 ประเทศ แบ่งการประเมินออกเป็น 9 ด้าน ได้แก่ 1.ขีดจำกัดของอำนาจรัฐ 2.การปราศจากการทุจริต 3.ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง
4.สิทธิขั้นพื้นฐาน 5.รัฐบาลที่เปิดเผย 6.การบังคับใช้กฎหมาย 7.กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง 8.กระบวนการยุติธรรมทางอาญา และด้านที่ 9 กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นทางการที่เป็นทางเลือกแทนกระบวนการยุติธรรมหลัก
คะแนนที่ได้จากการประเมินทั้ง 9 ด้านถูกนำมาคิดเป็นคะแนนรวมของแต่ละประเทศ แล้วเอาผลที่ได้มาจัดอันดับประเทศ สำหรับปี 2563 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 71 ผลประเมินรายด้านทุกด้านของประเทศไทยได้มีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภาพรวมของโลก
ปกติแล้วเรามักเอาคะแนนของประเทศไทยไปเทียบกับประเทศอื่นที่คะแนนสูงกว่าเรามาก แล้วก็พูดกันว่าประเทศเราสู้ประเทศโน้นไม่ได้ เทียบประเทศนี้ไม่ได้ ซึ่งบางประเทศที่เราไปเทียบกับเขานั้นมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าเราเยอะ มีระดับการพัฒนาโดยรวมที่นำหน้าเราไปหลายก้าว การเปรียบเทียบแบบนี้จึงอาจไม่เหมาะเสียทีเดียว ไม่ต่างอะไรกับการเทียบผลสอบของเด็กที่พ่อแม่มีฐานะดีกับเด็กที่พ่อแม่ยังมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
วิธีการเทียบที่เหมาะสมกว่า จึงเป็นการถามตัวเองว่าด้วยระดับรายได้ต่อหัวของเราในปัจจุบัน คะแนนที่ประเทศของเราทำได้ดีมันพอหรือยัง?
เส้นประในรูปที่นำเสนอเป็นเส้นที่จะตอบคำถามนี้ให้กับเรา เส้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูล 128 ประเทศ โดยแกนตั้งเป็นคะแนนที่แต่ละประเทศได้จากการประเมินในปี 2563 ส่วนแกนนอนเป็นรายได้ต่อหัวของประเทศ เมื่อนำข้อมูลนี้มาประมาณค่าเส้นแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ต่อหัวกับคะแนนที่ได้ก็จะได้เส้นประที่แสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ณ ระดับรายได้ต่อหัวที่กำหนด คะแนนที่ได้ควรมีค่าเท่าไร
หากจุดของประเทศไหนอยู่บนเส้นประ แสดงว่าระดับนิติธรรมที่มีสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของประเทศ ถ้าจุดสูงกว่าเส้นประ หมายความว่าประเทศนั้นทำได้ดีกว่าที่คาดหมายไว้ ส่วนจุดที่ต่ำกว่าเส้นประหมายความว่าคะแนนที่ทำได้มีค่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
จากรูปจะเห็นได้ว่าจุดของประเทศไทยอยู่ต่ำกว่าเส้นประ ประเทศที่มีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกับเราและอยู่ใต้เส้นประเหมือนกัน คือ เบลารุส สาธารณรัฐโดมินิกัน เม็กซิโก และมาซิโดเนียเหนือ ประเทศที่รายได้ต่อหัวใกล้เคียงกับเราแต่ได้คะแนนสูงกว่าที่เส้นประ คือ บอตสวานา เกรนาดา จอร์เจีย และบาร์เบโดส
การที่มีถึง 4 ประเทศที่ทำได้เกินเส้นประ เป็นการบอกใบ้ว่าประเทศไทยเองก็สามารถยกระดับนิติธรรมให้สูงขึ้นว่านี้ได้
สิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยนก็คือ ความคิดว่าระดับนิติธรรมของประเทศขึ้นอยู่กับภาครัฐ จริงอยู่ว่ากลไกด้านนิติธรรมส่วนใหญ่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกของภาครัฐ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว พวกเราทุกคนสามารถสร้างสังคมที่ให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมด้วยการเคารพกฎหมาย เคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้อื่น และมีหลักศีลธรรมควบคุมพฤติกรรมของเราไว้ในระดับหนึ่ง
เหมือนกับที่องค์ทะไลลามะเคยกล่าวไว้ว่า “แม้แต่ประเทศที่มีหลักนิติธรรมเข้มแข็ง ถ้าหากหลักขาดศีลธรรมที่กำกับไว้ เราก็ยังจะพบเห็นปัญหาการเลือกปฏิบัติ ปัญหาการทุจริต และการเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นในประเทศเหล่านี้ได้เหมือนกัน”