"ทีม4กุมาร”ชูโมเดลต่างประเทศ-แนะรัฐดึงภาคประชาสังคมร่วมแก้โควิด
"ทีม4กุมาร”ชูโมเดลต่างประเทศ-แนะรัฐดึงภาคประชาสังคมร่วมแก้โควิด ชี้สูตรสำเร็จแก้ปัญหาทุกภาคส่วนต้องร่วมมือ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรมว.พลังงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า ในสถานการณ์โรคโควิดแบบนี้ ตนคิดว่าความร่วมมือและร่วมใจกันของทุกภาคส่วนถือว่ามีความสำคัญมาก ๆ ครับ ภาครัฐอย่างเดียวอาจมีกำลังไม่พอ ภาคส่วนอื่น ๆ สามารถทำงานช่วยหนุนเสริมกันและกันได้
โดยตลอด 1 ปี ที่ผ่านมานี้เราได้เห็นบทเรียนมากมายจากต่างประเทศครับ โดยเฉพาะประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาด จำนวนมากนั้นมีจุดร่วมกันคือการทำงานร่วมกันอย่างลงตัวระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ภาคประชาสังคมถือว่ามีความน่าสนใจครับ และในหลายประเทศทั่วโลกก็ได้ใช้ประโยชน์จากภาคส่วนนี้อย่างมหาศาลโดยเฉพาะการเข้าถึงในระดับพื้นที่ เครือข่ายการทำงานที่มีข้อมูลเชิงลึก หรือเป็นกำลังเสริมสำคัญในการคุมโรคระบาดครับ
“ในกรณีของจีนหากเราได้ติดตามดูการควบคุมโรคระบาดจะพบเห็นกลุ่มคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดง ใช่แล้วครับคนกลุ่มนี้คืออาสาสมัครที่มาช่วยงานเจ้าหน้าที่ โดยคนกลุ่มนี้จะอยู่มีบทบาทหน้าที่ที่รัฐจะกำหนดมาให้ทำ งานจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้ทักษะมาก เช่นการให้ข้อมูลเบื้องต้นในการตรวจหาเชื้อ หรือการบอกตำแหน่งต่าง ๆ ในสถานีฉีดวัคซีน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำงานเฉพาะในส่วนการฉีดวัคซีนและตรวจโรคซึ่งมีค่ามหาศาลครับ ในสภาพที่บุคคลากรมีจำกัด”
นายสนธิรัตน์ ระบุว่าต่อว่า อย่างในกรณีของอินเดียที่ผมเคยเขียนไปก่อนหน้านี้ เราจะได้เห็นบทบาทของภาคประชาสังคมที่ทำงานกับภาครัฐในการรับส่งผู้ป่วยตามเขตต่าง ๆ การส่งอาหารสำหรับคนที่ต้องกักตัว ไปจนถึงบริการเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ด้วย
นอกจากนี้พรรคการเมืองต่าง ๆ ในอินเดียก็ร่วมด้วยช่วยกันในการให้ความช่วยเหลือประชาชนภายใต้การแบ่งเขต หรือรูปแบบการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือเร็วที่สุด ทั้งบริการออกซิเจน และการนำส่งประชาชนไปยังโรงพยาบาลครับ
ขณะเดียวกันในสหภาพยุโรปเองบทบาทขององค์การภาคประชาสังคมก็ค่อนข้างมีอย่างโดดเด่นภายใต้การประสานงานร่วมกันกับภาครัฐ เช่นการส่ง Care Package ไปในครัวเรือนต่าง ๆ การผลิตข้อมูลองค์ความรู้ ไปจนถึงการสร้างความการตระหนักรู้ในระดับชุมชน สิ่งสำคัญที่ประเทศเหล่านี้มีลักษณะคล้ายคลึงกันคือการมีกำลังคอยหนุนเสริมจากภาครัฐในการทำหน้าที่ของภาคประชาสังคมและอาสาสมัครครับ ซึ่งภาครัฐจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลัก คอยกำหนดบทบาทต่าง ๆ ที่อยากให้ภาคส่วนเหล่านี้ช่วยเหลือ
“ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาครัฐไม่ต้องใช้บุคลากรไปกับงานที่ภาคส่วนอื่นสามารถให้ความช่วยเหลือได้ครับ และภาครัฐสามารถระดมบุคลากรและงบประมาณไปทำงานที่เป็นส่วนสำคัญของการป้องกันการแพร่ระบาดแทน ผมคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ภาครัฐอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมาทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประสานงานที่ดีด้วย มากกว่าที่จะแสดงบทบาทนำเพียงอย่างเดียว เพราะหลายเรื่องภาคส่วนอื่นอาจทำได้ดีและประสิทธิภาพสูงมากกว่า”
ทั้งนี้ภาครัฐสามารถใช้ศักยภาพของภาคส่วนเหล่านี้ได้ เพื่อให้นำทรัพยากรและบุคลากรไปใช้ในเรื่องที่มีความจำเป็น อันจะช่วยให้การบริหารสถานการณ์โควิด19มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ ตนมีความเชื่อว่าในวันนี้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยพร้อมร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือและสนับสนุนงานของภาครัฐ