‘ฝ่ายค้าน’ไม่ยื่นศาลรธน.วินิจฉัย‘ประยุทธ์’นั่งนายกฯครบ8ปี
‘ฝ่ายค้าน’ไม่ยื่นศาลวินิจฉัย‘ประยุทธ์’นั่งนายกฯครบ8ปี หวั่นขยายอำนาจให้ศาลรธน.เกินความจำเป็น เตรียมยื่น ป.ป.ช.สอบขยายผลหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 4 ต.ค.นี้
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยมีแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน อาทิ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท.และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พท.และเลขาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค พท. นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค พท. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท. นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค ก.ก. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค ปช. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ (พช.) นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ร่วมประชุม
จากนั้นแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันแถลงผลการประชุม โดยนายประเสริฐกล่าวว่า 1.สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งที่ผ่านมา พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติลงนามในญัตติที่จะยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. โดยได้นัดหมายกันเดินทางไปยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. ในวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม เวลา 10.00 น. ซึ่งจะยื่นทั้งหมด 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดแรก เป็นคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ชุดที่ 2 เป็นตัวนายกฯ ชุดที่ 3 เป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชุดที่ 4 เป็นนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อ่านข่าว : "ไพบูลย์" ชี้ "นายกฯ" ชะลอทูลเกล้าฯ "ร่างรธน." ไม่ได้ แม้มีคำร้องถึงผู้ตรวจฯ
นายประเสริฐกล่าวว่า ขณะที่ประเด็นที่จะยื่นเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวัคซีนทั้งหมด 3 เรื่อง เช่น การไม่เข้าโครงการโคแว็กซ์ การผูกขาดเอื้อประโชน์วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า การทุจริตจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ทุจริตการจัดซื้อชุดตรวจ ATK และการบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ จัดซื้อวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพให้คนไทย และเรื่องที่เกี่ยวกับการออกมติ ครม.ที่ขัดต่อกฎหมาย โดยมีการเอื้อประโยชน์ให้เกิดการทุจริตสต๊อกยางพารา ส่งผลให้เกิดหารขายในราคาที่ต่ำกว่าปกติ เอื้อเอกชนรายเดียว ผิดกฎหมายการยางเรื่องการรักษาเสถียรภาพ ทำราคายางลดต่ำเพราะมีการทุ่มราคา
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า 2.กรณีวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 158 เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกฯมีวาระในการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดอำนาจนานเกินไป และเป็นประเด็นในอนาคตอาจต้องมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องการดำรงตำแหน่งของนายกฯรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 158 เขียนชัดว่านายกฯจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ ฝ่ายค้านแทบจะไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแต่ประการใด เพราะชัดเจนในตัวมันเองแล้ว ถ้าตีความแบบฝ่ายค้านตีความ ต้องนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 ในรัฐธรรมนูญยังระบุว่า ครม.ที่เป็น ครม.อยู่ก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งนี้ ในการยื่นร้อง ถ้าไม่มีเหตุเกิดขึ้น ศาลก็คงจะไม่น่ารับไว้ เราจึงจะไม่ยื่นในขณะนี้ เพราะยื่นไว้คงไม่เกิดประโยชน์ เราจะพิจารณาเรื่องนี้เมื่อมีเหตุแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า กฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจน คนที่ตีความเป็นอย่างอื่นเป็นการทำลายกฎหมายสูงสุด ถ้าถึงเวลานายกฯต้องพิจารณาตนเอง ไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นคนที่ใช้ประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และที่สำคัญคือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ
ขณะที่นายชัยธวัชกล่าวว่า คิดว่าประเด็นนี้อย่างน้อยต้องรอจากบทบัญญัติที่ยึดโยงกันอย่างน้อย 3 มาตรา คือมาตรา 158 ระบุไว้ชัดเจน ซึ่งคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ทำเอกสารอธิบายความมุ่งหมายไว้ชัดเจนว่า เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป อันจะเป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤตทางการเมือง และหากเรายังปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์สืบทอดอำนาจนานเท่าไหร่ก็จะเป็นปัญหาทางการเมือง จนเกิดวิกฤต
นายชัยธวัชกล่าวว่า มาตรา 170 ซึ่งมาตรานี้ระบุไว้ชัดเจนว่าความเป็นนายกฯของนายกฯสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลา (ตามมาตรา 158) และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.ครม.ที่ดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ก็ให้ถือเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย และ 2.หากเราดูบทเฉพาะกาลมาตรานี้จะมีการยกเว้นลักษณะต้องห้าม และเหตุที่ต้องพ้นจากตำแหน่งของรัฐมนตรี แต่ไม่มีมาตราไหนเลยที่จะยกเว้นมาตรา 170 เรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้ และการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในตอนนี้โดยไม่จำเป็นจะเป็นการขยายอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญมากเกินจำเป็น ทั้งนี้ เราหวังว่านายกฯจะเคารพเจตจำนงของรัฐธรรมนูญที่ตนเองและแม่น้ำหลายๆ สายของตนเองยกร่างเอาไว้
“เอาเข้าจริงๆ แล้ว ผมว่าไม่จำเป็นต้องรอถึงสิงหาคมปีหน้า ทุกวันนี้ผมคิดว่ารัฐบาลทราบดีว่าเราอยากได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เร็วที่สุดทุกเวลา สิงหาคมปีนี้ยังคิดว่าช้าเกินไป” นายชัยธวัชกล่าว
เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่สามารถเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช่หรือไม่นั้น นายประเสริฐกล่าวว่า หากนับการดำรงตำแหน่งเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2557 ก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้แล้ว ด้าน พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า เขาสามารถเสนอได้ ถ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอยู่แล้ว แต่ประชาชนต้องตื่นรู้ว่าคุณเป็นรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน 7 ปีบ้านเมืองเราบอบช้ำมามากแล้ว ท่านบริหารประเทศมีแต่ความเหลื่อมล้ำ มีแต่กู้เงินไปใช้แล้วไม่มีอนาคตใช้หนี้ได้ และมีปัญหาสังคมมากมาย วันนี้ต้องเปิดโอกาสให้ผู้นำที่ประชาชนเลือกจะดีกว่า
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่หากฝ่ายรัฐบาลจะชิงยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นอำนาจของ กกต.และ ครม.ที่ใช้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญยื่นได้ เราตั้งข้อสังเกตว่าเขาชิงยื่นก่อน ซึ่งเป็นกลไกในการฟอกตัวนายกฯหรือไม่ ถ้า กกต.ยื่นอาจจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์ เพราะ กกต.ทราบจะทราบว่าหากจัดการเลือกตั้งจะมีปัญหาหรือไม่ ถ้าเป็น ครม.หรือ กกต.ภายใต้อาณัติยื่น อาจจะตีความว่าเป็นการฟอกตัวได้ เชื่อว่าถ้าหากมีการยื่นจริง มีแนวโน้มว่าศาลจะรับคำร้องไว้แน่ เพราะเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว อาทิ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. วินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา เป็นต้น
เมื่อถามว่าหากศาลตีความในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ครบวาระแล้ว จะเกิดเดดล็อกทางการเมืองหรือไม่ นพ.ชลน่านกล่าวว่า ถ้ามีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นับตั้งแต่สิงหาคม 2558 และเมื่อมีการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งไปนั้น มันก็มีผลแน่นอนต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ถามว่าใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะ กกต.ที่ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติการเข้ามาสู่ตำแหน่ง
“ย้ำว่าบทบัญญัติกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน และไม่จำเป็นต้องยื่นแต่อย่างใด เมื่อครบ 24 สิงหาคม มีเจตนารมณ์ดำรงตำแหน่งต่อ เราถึงจะมีหน้าที่ เพราะเราปกป้องรัฐธรรมนูญและประชาชน” นพ.ชลน่านกล่าว