"ประวิตร"เผยแผนจัดการน้ำ20ปี เพิ่มแนวทาง"โคกหนองนาโมเดล" แก้ท่วม-แล้ง
"ประวิตร" เร่งรัด "สทนช." บูรณาการขับเคลื่อนแผนงาน แก้ปัญหาป้องกัน น้ำเค็ม ปี65 เผยความก้าวหน้าแผนแม่บท บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี เพิ่มแนวทาง "โคกหนองนาโมเดล" เป็นแหล่งน้ำสำรอง ใช้กักเก็บ ช่วงน้ำท่วม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 2/2564 ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
โดยที่ประชุมได้รับทราบ ผลการดำเนินงาน ตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 64 ที่ผ่านมา อาทิ การซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์ จำนวน 2,312 แห่ง (99%) และสถานีโทรมาตร จำนวน4,209 แห่ง (89%) , การขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา รวม 5,319,444 ตันในพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออก และการขุดเจาะบ่อบาดาล ก่อสร้างระบบกระจายน้ำ จำนวน 2,498 บ่อเติมน้ำใต้ดิน จำนวน 998 แห่ง เป็นต้น และได้รับทราบความก้าวหน้า โครงการบริหารจัดการน้ำระยะยาว อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้เร่งรัด สทนช. ให้บูรณาการหน่วยงานต่างๆ ในการขับเคลื่อน แผนงานให้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงให้ศึกษาการแก้ปัญหาการป้องกันน้ำเค็มในปี65 ด้วย นอกจากนั้นที่ประชุม ยังได้รับทราบความก้าวหน้าการปรับปรุงกรอบแนวทางแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี โดยให้มีการเพิ่มเติมแนวทางการพัฒนา "โคกหนองนาโมเดล" เพื่อให้เป็นแหล่งน้ำสำรอง และใช้เก็บน้ำเมื่อประสบภัยน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีการพิจารณา รายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี(ช่วง2561-2564) และรายงานตัวชี้วัดความมั่นคงน้ำ พร้อมทั้ง ได้เห็นชอบให้ใช้ระบบ Thai Water Assessment เป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลโครงการด้านทรัพยากรน้ำโดยมอบให้หน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องรายงานผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ ธ.ค.64 เป็นต้นไป
พล.อ.ประวิตร มีความพอใจในผลคืบหน้าตามแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ที่ผ่านมาพร้อมกำชับ สทนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน ต่อปัญหาที่ส่งผลกระทบประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาจากน้ำทะเลหนุนในขณะนี้ และปัญหาน้ำเค็มรุก ควบคู่กับการแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งให้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของประเทศ อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งได้สั่งการให้ สทนช.ตั้งคณะทำงานการประชาสัมพันธ์ เพื่อชี้แจง ทำความเข้าใจให้แก่ประชาชนได้รับทราบข่าวสาร อย่างถูกต้อง ต่อเนื่อง รวดเร็ว และทันเวลาต่อไป