เจาะสมรภูมิ‘เมืองหลวง’ ‘ศึกใน-ศึกนอก’2 ขั้วเดือด
"สนามเมืองหลวง" ขุมกำลังสำคัญ ที่บรรดาพรรคการเมืองต่าง "ส่งสาส์นท้ารบ" ประกาศกวาดส.ส.ในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
การ “ส่งสาส์นท้ารบ” จากบรรดาพรรคการเมืองในขณะนี้ มีการจับตาไปที่ “สมรภูมิเลือกตั้งส.ส.” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า โดยเฉพาะ “สนามเมืองหลวง” อย่างกทม. อันเป็นเป้าหมายสำคัญของบรรดาพรรคการเมือง
อย่างที่รู้กันว่า การเลือกตั้งรอบนี้จะกลับไปใช้บัตร 2 ใบ “ใบหนึ่งเลือกคนที่รัก-อีกใบเลือกพรรคที่ชอบ” ขณะที่จำนวนส.ส.ที่เปลี่ยนไปคือ มีส.ส.เขต 400 และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ย่อมส่งผลให้จำนวนส.ส.แต่ละพื้นที่เปลี่ยนตามไปด้วย
โดยในส่วนของ กทม.รอบนี้จะมี ส.ส.เพิ่มขึ้นตามสูตรดังกล่าว จากเดิม 30 คน เป็น 34 คน อ่านเกมแล้วไม่แปลก ที่เวลานี้จะปรากฎภาพความเคลื่อนไหวบรรดาพรรคการเมืองในการจัดทัพรับศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
โดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ ทั้ง “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่การเลือกตั้งรอบที่แล้วกวาด ส.ส.กทม.มาทั้งสิ้น 12 คน มารอบนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค ทุ่มทุนคุมโซน กทม.ด้วยตัวเอง หวังอัพเลเวลจำนวน ส.ส.คูณสอง
“ส.ส.กทม.ของพรรคขณะนี้มี 12 คน ถือว่าน้อยไป เราอยากได้อีก 12 คน ขอให้พรรรคมีคะแนนเป็นที่หนึ่งทั้ง 2 อย่าง” บิ๊กป้อม ประกาศผ่านวงประชุมพร้อมเปิดตัว 11 ผู้สมัครฝั่งธน เมื่อวันที่ 27 พ.ย.
ถัดมาเพียง 1 วัน “ค่ายนายใหญ่ดูไบ”อย่างพรรคเพื่อไทย นำโดย “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ไม่น้อยหน้า ประกาศความพร้อมการส่งผู้สมัครหวังยึดพื้นที่เมืองหลวง
ทว่านอกเหนือจากการต่อสู้กันระหว่าง 2 พรรคใหญ่แล้ว อย่างที่รู้กันว่า สนาม กทม.ยังถือมีเป็นขุมการเมืองสำคัญของ “พรรคก้าวไกล” หรือ“อนาคตใหม่” เดิมซึ่งรอบที่แล้วกวาด ส.ส.มาได้ถึง 9 คนเท่ากับพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
มิหนำซ้ำ รอบที่แล้วอนาคตใหม่กวาดคะแนน “ป็อปปูลาร์โหวต” แซงคู่แข่ง มาเป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนน 804,272คะแนนอีกด้วย
ฉะนั้น นอกจากจะเผชิญศึกต่างขั้วอย่างพลังประชารัฐแล้ว เพื่อไทยยังหนีไม่พ้นการเผชิญศึกชิงฐานการเมืองภายขั้วเดียวกัน ทำให้การเลือกตั้งรอบนี้ “ค่ายนายใหญ่ดูไบ” อาจต้องชิงเกมจากกติกาบัตร 2 ใบที่พรรคเป็นต่อ ปรับยุทธวิธีจากรอบที่แแล้วที่เดินเกม “แตกแบงก์พัน”ส่งผู้สมัครเพียง 22 คนจากทั้งหมด 30 คน
เปลี่ยนเกมมาเป็น “ส่งทุกเขตเก็บทุกแต้ม” ขนผู้สมัครหน้าเก่า-หน้าใหม่ลงชิงชัยหวังเพิ่มยอดส.ส. รวมถึงคะแนนป็อปปูลาร์โหวตในพื้นที่เมืองหลวงไปในคราวเดียวกัน
ไม่ต่างไปจากพลังประชารัฐ ที่นอกเหนือจะเจอ “ศึกข้ามขั้ว” คือ “เพื่อไทย” และ “ก้าวไกล” โดยเฉพาะบางเขตที่ทำคะแนนนำเพียงหลักร้อยแล้ว
พปชร.ยังต้องเจอศึกภายในขั้วเดียวกันทั้ง“ประชาธิปัตย์” ซึ่งรอบที่แล้วพ่ายยับเยินชนิดสูญพันธุ์ไร้ที่นั่งส.ส.กทม. มารอบนี้ประกาศขอ“กู้หน้า”ในศึกเลือกตั้งนัดล้างตาที่จะมาถึง
ไม่เว้นแม้แต่ “ภูมิใจไทย” ที่เวลานี้ดูด ส.ส.กทม.ค่ายสีส้ม ทั้ง “มณฑล โพธิ์คาย” และ “โชติพิพัฒน์ เตชะโสภณมณี” มาได้
ฉะนั้น แม้พลังประชารัฐจะประเมินว่า ทั้ง 2 พรรคไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว แต่ก็ใช่ว่าจะประมาทได้
ทำไปทำมาสถานการณ์ของของทั้ง 2 ขั้วยามนี้ ดูแล้วเผชิญทั้ง “ศึกข้ามขั้ว” และ “ศึกใน” ไม่ต่างกัน ยังไม่นับรวมการการก่อตัวของพรรคทางเลือก ที่ประกาศตัวขอเป็นพรรคสายกลางทั้ง “ไทยสร้างไทย” ของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ หรือ “พรรคกล้า” ของ “กรณ์ จาติกวณิช”
ด้วยสมการการเมืองที่เปลี่ยนไป เป็นธรรมดาที่การเลือกตั้งรอบนี้ บรรดาพรรคการเมืองจะส่งสัญญาณประกาศศึก โดยเลือกเจาะไปที่สนามเมืองหลวงเป็นลำดับแรกๆ
จากนี้ต้องติดตาม ยิ่งใกล้วันจริงเท่าไหร่ เชื่อได้เลยว่าภาพของการขับเคี่ยวกันแต่ละพรรค จะทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน!