วงจรอุบาทว์"ตลาดนักการเมือง" เปิดสูตรพลังดูด 30-40-50
ปรากฎการณ์พลังดูดตั้งแต่ปี 2534 และมีนวัตกรรมที่ใช้กล้วยอย่างมโหฬาร จนอัตราเพิ่มมากกว่าเงินเฟ้อแต่ละปี วัฏจักรการเมืองไทยเช่นนี้ คนที่่จะตัดสินได้ดีที่สุด คือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่จะหยุดวงจรอุบาทว์ทางการเมืองนี้ได้
ตลาดนักการเมืองกำลังคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง ส.ส.ปัจจุบัน และ ส.ส.สอบตก ถูกทาบทามจากบรรดาพรรคการเมืองทั้งพรรคปัจจุบัน และพรรคก่อตั้งใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ ส.ส.เขต เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะมี ส.ส.เขตถึง 400 ที่นั่ง ฉะนั้นพรรคใดที่ได้จำนวน ส.ส.และนักการเมืองที่ใช่ จึงมีโอกาสชนะการเลือกตั้งในระดับหนึ่ง
ดังนั้น ตลาดการเมืองในขณะนี้ ทุกพรรคจึงเฟ้นหา ส.ส.เพื่อลงสมัครเขต แต่การเฟ้นหานั้น ก็จะมากับพลังดูดคืนชีพ ที่มีเรื่องตัวเลข “กล้วย” เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คนที่พูดถึงประเด็นนี้ล่าสุด คืออดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ระบุถึงลูกพรรคเพื่อไทย ได้รับวัคซีนเข็มละ 20-30 ล้าน ซึ่งเรื่องนี้ในตลาดการเมืองมีการพูดคุยกันมาในระดับหนึ่งก่อนหน้านี้ แต่มาถูกขยายและถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อ “ทักษิณ” ออกมาเปิดเอง
“ได้ข่าวว่า ส.ส.ฝ่ายค้าน โดนวัคซีนไล่ฉีดกันเป็นแถว ฉีดด้วยวัคซีน 30 ล้าน 20 ล้าน โดนฉีดกันใหญ่ เตรียมจะย้ายพรรคกันใหญ่ ผมเตือนไว้นะวันก่อนมี ส.ส.เพื่อไทยไปร่วมประชุมกับพรรคฝ่ายรัฐบาล ผมก็ได้ยิน ผมรู้ชื่อว่าเป็นใคร แจกคนละ 2 แสน วันนี้ที่บอกว่าเอารายชื่อไปโชว์นายกฯ มีจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ก็จริงนะ ก็จิ้มไปเยอะ แต่ขณะเดียวกัน ส.ส.ที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ส.ส.เหมือนไก่ชน ถ้าชนแพ้ กิโลละ 35 บาทถ้าชนชนะ ตัวละ 3 แสน”
ขณะที่ในมุมของ ส.ส.เอง ก็ย่อมกลัวสอบตก ดังนั้นในมุมของตัวเอง คือทำอย่างไร จึงจะเลือกพรรคที่ใช่สำหรับตัวเอและพรรคที่มีโอกาสชนะเลือกตั้ง และพรรคใดให้กล้วย หรือมีฉีดวัคซีนเยอะ
สำหรับการดูด ส.ส.ของพรรคการเมืองแต่ละยุค ทุกครั้งที่เกิดพรรคการเมืองใหม่ หรือเกิดปรากฎการณ์ใหม่ เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะมีการดูดเกิดขึ้นทุกครั้ง
ปี 2534 เกิดการรัฐประหาร หลังจากนั้น มีการจัดตั้งพรรคสามัคคีธรรมขึ้น เป็นการเปิดตำนานการดูด ส.ส. ว่ากันว่า มีรุ่นที่อยู่เบื้องหลัง ที่เรียกว่า 0143 ได้มีการคัดเกรดนักการเมือง เวลานั้นเกรด A 7 ล้านบาท เกรด B 5 ล้านบาท เกรด C 3 ล้านบาท เป็นสูตรที่คนมีอาวุธ เรียกว่า 3-5-7 จะแยกเป็นกระเป๋าคนละสี คนละขนาด คนที่ออกจากพรรคนั้น ก็หิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์กลับออกมา
ต่อมา ปี 2543 มีการตั้งพรรคไทยรักไทย จึงเกิดการแย่งตัว ส.ส.ขึ้นอีก แต่ละคนถูกแต่ละพรรคการเมืองดูดกันไปมา จนเพิ่มราคาในการดูดเป็นสูตร 10-20-30 ตามเกรด เพราะทุกพรรคอยากได้จำนวนส.ส.มากขึ้น เพื่อเป็นฐานในการได้เป็นรัฐบาล
ถัดมาในปี 2554 เกิดกรณีการหักหลังกันในรัฐบาล(ปี 2551) และ ส.ส.แตกมาจากพรรคพลังประชาชน ที่ถูกยุบ ส่วนใหญ่ไปเข้าพรรคเพื่อไทย มีส่วนน้อยคือ 31 เสียง ไปเป็น ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ซึ่งขณะนั้นภูมิใจไทยก็พยายามหาสมาชิก มากขึ้น จึงเกิดการแย่งตัวกันหนัก มูลค่า ส.ส.จึงเพิ่มขึ้น จนเกิดสูตร 20-25-30
มาถึงปี 2562 เกิดพรรคพลังประชารัฐก็มีการแย่งตัว ส.ส.เพราะเวลาเกิดทีมใหม่พรรคใหม่นักเตะมีอยู่เท่านี้ก็ต้องประมูลนักเตะซึ่งนักเตะใหม่ก็มีโอกาสได้น้อยจึงเกิดสูตรใหม่ 25-30-40
เวลาย้ายพรรค นักการเมืองมักจะให้เหตุผลว่ามีอุดมการณ์เดียวกัน แต่ก็ลากกระเป๋าออกมาด้วย
ปัจจุบันปี 2565 เกิดนวัตกรรมในการดูด ซึ่งที่จริงเกิดมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ขณะนี้เริ่มมีสูตร 30-40-50 และยังมีเอ็กซ์ตรา จ่ายรายเดือน 2-3 แสนบาท และมีบริหารโครงการด้วย และยังมีการต่อรองอื่นๆ อีก
จะว่าไปแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้่ เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่เริ่มเห็นพลังดูดคืนชีพ ที่มีข้อเสนอเป็นแพกเกจ เบื้องต้นมีสัญญาว่าจะให้ก้อนหนึ่ง ที่เหลือก็หล่อเลี้ยงรายเดือน เมื่อเข้าไปสู่โหมดเลือกตั้งจริงๆ และได้เป็นส.ส.กลับมา ก็จะมีโบนัสให้อีก
สำหรับยุทธวิธีการดูดนักการเมืองกลุ่มเป้าหมาย ก็คือ 1. ส.ส.เขต เป็นหลัก 2.อาจมีเรื่องการต่อรองเกี่ยวกับคดีความต่างๆ โดยให้การช่วยเหลือ 3.การแจกกล้วย ซึ่งเวลานี้อัตราเพิ่มขึ้น และ 4.ยังมีแจกโครงการ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดมากที่เอางบประมาณแผ่นดินไปให้ ส.ส.ที่จะย้ายพรรคบริหารโครงการ ใครบริหารเก่งก็หาคอมมิชชั่นเอาเอง แต่ถ้าใครบริหารไม่เป็นเอาไป 8 หลัก
กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเพราะในพรรครัฐบาล ในพรรคฝ่ายค้านก็ปรากฏ การรับโครงการลักษณะนี้ด้วย ซึ่งจุดประสงค์ก็คือ จะย้ายพรรค และก็มีดูแลรายเดือน จึงเป็นเหตุให้อดีตนายกฯทักษิณออกมาแฉ
พื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคการเมือง หากแยกตามรายภาคจะเห็นคู่ชิงที่น่าสนใจในการเลือกตั้งครั้งหน้าดังนี้
ภาคกลาง เป็นเป้าหมายของ 4 พรรค เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และประชาธิปัตย์ ที่จะสู้กัน
ภาคอีสาน จะแข่งกันหนัก ระหว่าง เพื่อไทยและภูมิใจไทย และอาจมีพรรคใหม่ อย่างพรรคเศรษฐกิจไทย เข้ามาชิงด้วย
ภาคเหนือ เป็นสนามแข่งระหว่าง เพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ส่วนภาคใต้ ประชาธิปัตย์ กับภูมิใจไทย และอาจมีพลังประชารัฐเข้ามาชิง ภาคตะวันออก จะเป็นการประชันระหว่าง พลังประชารัฐและประชาธิปัตย์
นอกเหนือจากนวัตกรรมพลังดูดแล้ว ขณะนี้ได้มีการนำรายชื่อนักเลือกตั้งมาประเมินเพื่อตัดเกรด ว่าใครอยู่ในเกรดใด และแต่ละพรรคจะมีการประมูลแข่งกัน กว่าจะไปถึงเลือกตั้ง ตัวเลขสุดท้ายของพลังดูด จะเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
ปรากฎการณ์พลังดูดตั้งแต่ปี 2534 และมีนวัตกรรมที่ใช้กล้วยอย่างมโหฬาร จนอัตราเพิ่มมากกว่าเงินเฟ้อแต่ละปี วัฏจักรการเมืองไทยเช่นนี้ คนที่่จะตัดสินได้ดีที่สุด คือผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ที่จะหยุดวงจรอุบาทว์ทางการเมืองนี้ได้