“ก้าวหน้า-ก้าวไกล-3 นิ้ว” ปิดฉากม็อบ เปิดฉากการเมือง
“ความพ่ายแพ้” ทั้งในสภาฯและบนท้องถนนที่ผ่านมา ทำให้ “ม็อบ” ได้รับบทเรียนอย่างมาก ต้องวางหมากเดินเกมต่อไปอย่าง “รอบคอบ” โดยเห็นแล้วว่าการใช้ “สันติวิธี” ต่อสู้ ย่อม “นุ่มนวล” และได้รับการยอมรับมากกว่า “ลงท้องถนน”
ปรากฎการณ์ 23 ก.พ. 2565 ที่บรรดาฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “ประชาธิปไตย” ระดมทุนกันรัว ๆ เข้าสู่ “กองทุนราษฎรประสงค์” เรียกว่าสร้างแรงเสียดทานอย่างใหญ่หลวงต่อฝ่าย “อนุรักษ์นิยม” ในไทย
เพียงแค่มีการโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย ขอระดมทุนเพื่อช่วยเหลือในการประกันตัว 2 แกนนำ “ม็อบราษฎร” คือ “อานนท์ นำภา” และ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ไม่ถึง 4 ชั่วโมง ได้เม็ดเงินไปกว่า 10 ล้านบาท
“กองทุนราษฎรประสงค์” แจ้งข้อมูลว่า ยอดรวมการระดมทุนดังกล่าว 2 วัน 23-24 ก.พ. 2565 ได้เม็ดเงินไป 15,295,165.74 บาท โดยเป็นเงินที่เข้ามาแบบ “รายวินาที” เลยทีเดียว
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วกลุ่ม 3 นิ้วจะไปไม่ถึงฝัน เพราะต่อให้ศาลอาญามีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว อานนท์ และพริษฐ์ ในทุกคดีก็ตาม แต่ยังเหลือศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีจัดชุมนุม “แฮร์รี่ พอตเตอร์” ของ “ทนายอานนท์” ที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้ปล่อยตัว ส่วนคดีสวมชุด “ครอปท็อป” ของ “เพนกวิน” ศาลเพิ่งมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไข “เข้มงวด” อย่างหนัก แม้แต่การห้ามโพสต์ข้อความปลุกปั่นบนโซเชียลมีเดียด้วย
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” แผ่วลงอย่างมาก มีแต่ขบวนการ “ยิบย่อย” ที่ออกมาทำม็อบบ้างประปราย แต่มวลชนน้อยจนเหลือแค่หลักสิบ จนถูกหลายคน “ปรามาส” ว่าถึงจุดจบของขบวนการ “3 นิ้ว” แล้ว
แต่ปรากฎการณ์ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่า แม้จะไม่มีการเคลื่อนไหวบนท้องถนน แต่มวลชนยังคงมีอุดมการณ์เหนียวแน่น สะท้อนออกมาผ่าน “เม็ดเงิน” จากการระดมทุนดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยบัญชีรายรับ-รายจ่าย “อย่างละเอียด” ว่า ใครโอนเงินเท่าไหร่ ใครเป็น “ทุนใหญ่” ก็ตาม
แต่หลายคนตั้งคำถามว่า “ความเคลื่อนไหว” ที่ไม่เคลื่อนไหวของ “ม็อบราษฎร” หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร?
กูรูการเมืองหลายคน ประเมินตรงกันว่า หลังจากนี้ “ม็อบราษฎร” อาจจะไม่มีการ “ลงถนน” อีกแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ที่ถึงขั้น “ล้มรัฐบาล” ได้
เพราะการลงถนนในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา เรียกว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” แกนนำหลายคนต้องติดคุกติดตะราง มีชนักติดหลังยาวเป็นหางว่าว หลายคนที่เป็นนิสิตนักศึกษาแทบจะหมดอนาคตทางการเรียน
ที่สำคัญในช่วงนี้เป็น “โค้งสุดท้าย” ของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่หลายคนฟันธงแล้วว่าอาจอยู่ “ไม่ครบเทอม” และอาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองในช่วงกลางปี 2565 ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องออกแรง “ลงถนน” ให้ถูกจับกุม มีคดีติดตัวเพิ่มเติมอีก
นอกจากนี้ภาครัฐยังใช้ “ยาแรง” ในลักษณะ “บีบก็ตาย คลายก็รอด” แกนนำหลายคนเริ่มอิดออดที่จะออกมานำทัพ เพราะแม้จะได้รับการประกันตัวหลายครั้ง แต่ไม่มีอะไรการันตีว่า จะไม่ถูกถอนประกัน และต้องถูกคุมขังลากยาวในเรือนจำอีก
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ “แกนนำหลัก” อย่าง “เพนกวิน” และ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒกุล จำเป็นต้องออกมาเพื่อเรียนให้จบการศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ รวมถึง “เบนจา อะปัญ” แกนนำแถว 2 ด้วย นั่นจึงทำให้ปัจจุบัน “แกนนำหลัก-แกนนำแถว 2” ไม่มีใครกล้าขึ้นเวทีอีกแล้ว เพราะเกรงว่าจะขัดต่อเงื่อนไขของศาลที่ได้ปล่อยตัวชั่วคราว
อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ 2 แนวร่วมทางการเมืองอย่าง “พรรคก้าวไกล” ที่ตอนนี้เร่งทำแต้มเพื่อเก็บคะแนนเสียง เตรียมสู้เลือกตั้งครั้งหน้า โดยชูนโยบาย “แก้รัฐธรรมนูญ” ล้างมรดก คสช.เป็นหลัก มีการประเมินกันว่าหลายพื้นที่ภาคอีสานอาจแย่งแต้มจาก “ค่ายสีแดง” เก็บ ส.ส.เขตได้หลายคน ดังนั้นการเตรียมพร้อมเลือกตั้งย่อมสำคัญกว่า
นอกจากนี้ยังต้องคอยซัพพอร์ต “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค ที่เปิดตัวแล้ว “ไม่ปัง” อย่างที่คิด ให้ตีตื้นคะแนนสู้ “อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” ให้ได้
ส่วน “คณะก้าวหน้า” ง่วนอยู่กับการบริหารจัดการท้องถิ่น ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ส่งคนไปเบียดแย่งได้อยู่บ้าง ตั้งแต่สมาชิกสภาองค์การบริหารจังหวัด (ส.อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาลหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันยังเตรียมตัวส่งผู้สมัครนายกเมืองพัทยา เก้าอี้ท้องถิ่นสุดท้ายของปีนี้อีกด้วย แว่วว่าเตรียมจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร “ผู้หญิง” คนเดินตาม “ธนาธร” ในช่วงเดือน มี.ค.นี้ด้วย
ช่วงสิ้นปี 2564 “ปิยบุตร แสงกนกกุล” คลังสมองของ “คณะก้าวหน้า” เคยประเมินสถานการณ์แล้วว่า ขอให้ “ม็อบ” เปลี่ยนวิธีการสู้ใหม่ เพราะเห็นผลแล้วว่าการสู้รบแบบเดิมไม่มีทางสำเร็จ
โดยหลังจากนี้คณะก้าวหน้าจะเน้น “ปักธงความคิด” ไปยังกลุ่ม “หนุ่มสาว-เยาวชน-คนรุ่นใหม่” ทั่วประเทศ โดยมองว่าหมากเกมนี้ต้องใช้เวลา “วางรากฐาน” ให้พร้อมก่อน ค่อยออกรบ
“ปิยบุตร” ถึงขั้นเสนอให้ “เปิดโต๊ะเจรจา” ระหว่าง “ม็อบ” และกลุ่มอนุรักษ์นิยมในไทย เพื่อหาจุดร่วม “ตรงกลาง” แก้ไขปัญหาตอนนี้อยู่ด้วยซ้ำ
“ความพ่ายแพ้” ทั้งในสภาฯและบนท้องถนนที่ผ่านมา ทำให้ “ม็อบ” ได้รับบทเรียนอย่างมาก ต้องวางหมากเดินเกมต่อไปอย่าง “รอบคอบ” โดยเห็นแล้วว่าการใช้ “สันติวิธี” ต่อสู้ ย่อม “นุ่มนวล” และได้รับการยอมรับมากกว่า “ลงท้องถนน” เน้นปลูกฝังความคิดแก่ “คนรุ่นใหม่” รวมถึงกลุ่ม “คนตรงกลาง-อิกนอแรนซ์” (Ignorance) มาเป็นพวกให้ได้
เห็นได้จากมีอดีต “เซเลป 3 นิ้ว” หลายคนเตรียมเบนเข็มมาลงเก้าอี้ ส.ส. เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ปทุมธานี และยังมีอีกหลายคนที่เตรียมทยอยเปิดตัวเร็ว ๆ นี้
ก้าวต่อไปของ “ก้าวหน้า-ก้าวไกล-3 นิ้ว” จึงกลับมาร่วมกันเดินบนเส้นทางเดียวกันอีกครั้ง คือถนนสู่รัฐสภา เพื่อต่อสู้ผ่านการ “ยกมือโหวต” แทนการ “จับไมค์ปราศรัย” ซึ่งเห็นแล้วว่า 2 ปีที่ผ่านมา ไม่สำเร็จ-ไม่เป็นรูปธรรมเอาเสียเลย