พฤกษาปรับกลยุทธ์รุกบ้านหรูรับกำลังซื้อ‘ลูกค้าไฮเอนด์’พุ่ง
พฤกษาชี้ตลาดบ้านหรูฮอตปรับแผนซื้อที่ดินเน้นโซนกรุงเทพตะวันออก-ตะวันตกโฟกัสแนวราบ แบรนด์เดอะปาล์ราคา 20-40ล้านบาทพร้อมเล็งเพิ่มความเข้มข้นธุรกิจเฮลท์แคร์ ชูวิมุต เวลเนส บางนา-วงแหวนรองรับลูกค้าชาวจีนฉีดวัคซีน -ตรวจสุขภาพ หลังรัฐบาลไฟเขียวเดินทางออกนอกประเทศ
นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจปี 2566 พฤกษาจะปรับเปลี่ยนแนวทางการซื้อที่ดิน โดยจะเน้นเฉพาะทำเลที่ขายได้ดี และพื้นที่ที่อยู่ในแผนเตรียมความพร้อมสำหรับการเติมสต็อกในทำเลต่างๆ ตามความเหมาะสม
“บางทำเลจะเริ่มมีสต็อกน้อยลง ส่วนการบริหารจัดการที่ดินมีทั้งการขายออกไปหลังจากก่อนหน้านี้ซื้อเพื่อทำโครงการรูปแบบหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนแต่ปัจจุบันตลาดเปลี่ยนไปฉะนั้นตรงไหนที่ไม่เหมาะสม เพราะตลาดโอเวอร์ซัพพลาย จะขายออกไป หรือส่วนไหนที่ขาดก็ซื้อเพิ่ม”
เน้นพื้นที่โซนตะวันออก-ตก รุกบ้านพรีเมียม
โดยการจัดการพื้นที่ในปีนี้ จะไม่ซื้อที่ดินกลางเมืองเพิ่ม เช่น ทำเลเพลินจิต ทองหล่อ ซึ่งมีที่ดินอยู่แล้ว แต่จะไปซื้อที่ดินในโซนตะวันออกและตะวันตกแทน เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบให้มากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวเซกเมนต์พรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์เดอะปาล์มระดับราคา20-40 ล้านบาท ที่จะมีสัดส่วนการเปิดตัวมากกว่าเซกเมนต์อื่น
การเน้นตลาดดังกล่าว สอดคล้องกับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ที่ต่อเนื่องจากจากปีที่ผ่านมาที่ตลาดแนวราบโดดเด่น โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคาแพง และนอกจากโครงการดังกล่าว บริษัทอยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ที่เป็นบ้านระดับไฮเอนด์เพิ่มเติม
ทั้งนี้สำหรับการเปิดโครงการใหม่ปีนี้ 90% จะอยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มากกว่าต่างจังหวัด เนื่องจากมองเห็นดีมานด์และศักยภาพของตลาดมากกว่า ส่วนตลาดจังหวัดต้องรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม เช่น หากมีรถไฟความเร็วสูงอาจทำให้ตลาดดีขึ้น
นายอุเทน กล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าโครงการของพฤกษา ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาประมาณ 50,000 ล้านบาท ส่วนโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) มีประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาท คาดว่าภายในปีนี้ขายได้หมดเพราะส่วนใหญ่เป็นคอนโด ระดับราคาหลากหลาย ในทำเลสุขุมวิท สาทร ภายใต้แบรนด์ เดอะ รีเซิร์ฟ หรือพลัมคอนโด ,ชาร์เตอร์วัน สามย่าน ส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ส่วนที่ดินที่สามารถนำออกมาพัฒนามีมูลค่าอยู่ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งรองรับการเปิดตัวโครงการได้เพียงพอในระยะ 3-4 ปีข้างหน้า
รุกเฮลท์แคร์รับจีนเปิดประเทศ
นอกจากนี้ ปีนี้บริษัทมองว่าธุรกิจเฮลท์แคร์ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากการที่จีนเปิดประเทศให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศได้ ทำให้มีคนจีนเข้ามาใช้บริการด้านการดูแลสุขภาพในไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีน mRNA หรือการตรวจสุขภาพมากขึ้น โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการที่ วิมุต เวลเนส บางนา-วงแหวน เนื่องจากมีทำเลที่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิมากที่สุด
นอกจากนี้การเข้ามาของคนจีน ยังจะทำให้โอกาสการฟื้นตัวของภาคบริการ การท่องเที่ยวสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โลจิสติกส์ โรงแรม การเดินทาง ซึ่งจะเป็นฐานในการสร้างรายได้ให้คนที่อยู่ในธุรกิจเหล่านี้กลับมามีความมั่นใจในการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้นด้วย
“มองว่าปัจจัยต่างๆ จะทำให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ดี แต่ก็ยังมีความกังวลในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แม้ทุกคนจะมองว่า ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบแต่ไม่มาก เพราะเพิ่งฟื้นมาจากล็อกดาวน์ก็ตาม”
ทั้งนี้เพราะครึ่งปีหลังตลาดมีปัจจัยลบ จากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีความอ่อนไหวโดยเฉพาะแนวราบระดับล่างของราคาที่อยู่อาศัย จึงมีความกังวล รวมทั้งปัญหาโอเวอร์ซัพพลายคอนโดในเมืองหลายปีที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์หลายคนหยุดหรือชะลอทำโครงการใหม่ ทำให้อัตราการดูดซับดีขึ้น ดังนั้นปีนี้หรือปีหน้าตลาดคอนโดจะฟื้นตัว
“แต่อย่างไรก็ตามทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบดังกล่าว ผมยังเชื่อว่า ตลาดอสังหาฯ ปีนี้จะไม่หดตัว ยังสามารถเติบโตได้แต่ยังไม่โตเหมือนเดิม ต้องรอปี 2567 ถึงจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง”
ปรับโมเดลธุรกิจ “สร้างการอยู่อาศัย”
นายอุเทนกล่าวว่าสำหรับโมเดลธุรกิจของพฤกษาในภาพรวม ธุรกิจหลักยังคงเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย แต่บริษัทกำลังเปลี่ยนโมเดลจากการ “ขาย” ที่อยู่อาศัยมาเป็น“ สร้างการอยู่อาศัย” หรือ Living Solution ภายใต้แนวคิดอยู่ดีมีสุขเชื่อมโยงเรื่องของสุขภาพ (Health) ให้เข้ากับการใช้ชีวิต ร่วมกับโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring income)
เช่นเดียวกับการถือหุ้นในเจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง หรือ GEL ที่ทำธุรกิจพรีคาสท์ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สร้างความแข็งแกร่งให้พฤกษา และในอนาคตยังคงเป็นประโยชน์่ต่อธุรกิจ เพราะถือเป็นโนว์ฮาวอย่างหนึ่ง ในการทำธุรกิจ
โดยบริษัทการลงทุนกับพันธมิตรเป็นห่วงโซ่ บริษัทไม่จำเป็นต้องถือเอง 100% แต่ใช้ความแข็งแกร่งของพันธมิตรในด้านต่างๆ ที่หลากหลายมาร่วมกันพัฒนาธุรกิจ และส่งเสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน
รวมทั้งความร่วมมือกับแคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป หรือ CLI ยักษ์ใหญ่กลุ่มธุรกิจจัดการการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และแอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ALP ผู้ให้บริการโซลูชั่นคลังสินค้าแบบครบวงจรในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไต้หวัน จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่ากองทุน 1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท โดย CLI รับหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการกองทุน “CapitaLand SEALogistics Fund”
ฉะนั้นภาพของพฤกษาในอนาคต สัดส่วนของการลงทุนผ่าน พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic partnership) มากขึ้น เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจหลัก เช่น ทำอย่างไรให้ลูกบ้าน 2-3 แสนครอบครัวสามารถเข้าถึงบริการของโรงพยาบาลวิมุตผ่านTelemedicine เน้นการอยู่อาศัยของลูกค้าไม่ใช่แค่การขายที่อยู่อาศัยเหมือนในอดีต อีกต่อไป