ขายบ้าน ขายเมือง ขายชาติให้จีนไปเลย | โสภณ พรโชคชัย

ขายบ้าน ขายเมือง ขายชาติให้จีนไปเลย | โสภณ พรโชคชัย

ทุกคนรู้ว่าอำนาจของจักรวรรดินิยมจีนยิ่งใหญ่มาก และยากจะต้านทานจริงๆ งานนี้หนักว่าสมัยโบราณที่ไทยแค่ต้องส่งบรรณาการให้จีน และพระมหากษัตริย์ไทยยังใส่ชุด “อ๋อง” (รองจาก “ฮ่องเต้” ของจีน) เพราะในยุคนี้จีนมุ่งมายึดเมืองและกอบโกยหนักจริงๆ

ในประเทศโลกที่ 3 นักธุรกิจท้องถิ่น ยิ่งไม่อาจต่อต้านจีนได้ อย่างประเทศในอินโดจีนอาจถือว่าเป็น “ประเทศราช” ของจีนไปแล้ว ดูอย่าง

1. กัมพูชาที่ปรากฏว่าตลาดอาคารชุดพักอาศัย ถูกครอบงำโดยนักพัฒนาที่ดินจีนไปแล้วโดยนักพัฒนาที่ดินท้องถิ่นสู้ไม่ได้ เมืองสีหนุวิลล์ก็ถูกจีนสร้างเป็น “อาณานิคม” ให้ของตนเองไปเรียบร้อย ธุรกิจท่องเที่ยวในเสียมราฐก็ถูกจีนครอบงำไปเช่นกัน

ขายบ้าน ขายเมือง ขายชาติให้จีนไปเลย | โสภณ พรโชคชัย

2. เมียนมา หลังรัฐประหารเมื่อต้นปี 2564 ก็ปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติหนีหายไปแทบหมด ผมไปประเมินค่าโรงงานของต่างชาติในเมียนมา ก็ปรากฏว่ากิจการแทบไม่เดิน

เขาคงหวังจะขาย แต่บริษัทของจีนกลับเติบโตเอาเป็นอย่างมาก ในหัวเมืองใหญ่ๆ ของเมียนมาก็มีนักลงทุนจีนมากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์กันมากมายโดยรัฐบาลไม่ทำอะไร

3. ลาว ก็ปรากฏว่ามีทัพนักลงทุนจีนเข้ามามากมายเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีระบบรถไฟความเร็วสูงจากคุนหมิง ยูนานมาจ่อถึงเวียงจันทน์ ก็ยิ่งทำให้จีนเข้ามาคุมเศรษฐกิจมากขึ้น ในสมัย 50 ปีก่อนพวกเวียดนามเข้ามากุมเศรษฐกิจของลาว แต่ในยุคหลังมานี้กลับกลายเป็นจีนแล้ว

อาจกล่าวได้ว่าจีนปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับประเทศอื่นๆ เช่น การให้กู้หนี้ยืมสินจนหนี้ล้นพ้นตัวอย่างศรีลังกา ปากีสถาน

จากการศึกษาล่าสุดถึงอิทธิพลจีนใน 82 ประเทศทั่วโลก 10 ประเทศที่จีนเข้าไปมีอิทธิพลมากสุด และมีแผนที่แสดงไว้ท้ายนี้

ขายบ้าน ขายเมือง ขายชาติให้จีนไปเลย | โสภณ พรโชคชัย

10 ประเทศที่จีนเข้าไปมีอิทธิพลมากที่สุด

1. ปากีสถาน ด้านเทคโนโลยี นโยบายต่างประเทศ และการทหาร

2. กัมพูชา ด้านการบังคับใช้กฎหมาย การทหาร และนโยบายต่างประเทศ

3. สิงคโปร์ ด้านเทคโนโลยี การศึกษา และเศรษฐกิจ

4. ไทย ด้านการทหาร ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และเทคโนโลยี

5. เปรู ด้านสังคม การสื่อสาร การทหาร

6. อาฟริกาใต้ ด้านเทคโนโลยี นโยบายต่างประเทศและการเมืองในประเทศ

7. ฟิลิปปินส์ ด้านการเมืองในประเทศ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และเทคโนโลยี

8. คีร์กีซสถาน ด้านเทคโนโลยี ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และนโยบาต่างประเทศ

9. ทาจิกิสถาน ด้านเศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศ และเทคโนโลยี

10. มาเลเซีย ด้านการบังคับใช้กฎหมาย เทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม

ในทางตรงกันข้าม เราจะเห็นได้ว่าถ้าประเทศใดในโลกต้องการไปลงทุนในประเทศจีน ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จีนด้วย ดังจะเห็นได้ว่าจีนสามารถสร้าง แม็กเลฟหรือรถไฟระบบพื้นผิวแม่เหล็ก รถไฟความเร็วสูง และเทคโนโลยีอื่นๆ

ที่ในที่สุดจีนก็สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาขยายอิทธิพลในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศโลกที่ 3 ดังเช่นไทยและอื่นๆ

ตัวอย่างการครอบงำด้านสื่อสารมวลชนอย่างหนึ่ง ก็เช่น มีศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่ง พยายามออกมาแถลงเป็นระยะๆ ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของไทยกำลังจะตกต่ำในปี 2566 ทั้งที่เพิ่งฟื้นตัวในปี 2565 โดยขยายตัวเกือบเท่าปี 2562 (ก่อนเกิดโควิด)

การโพนทะนาแบบนี้ ก็เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าตลาดที่อยู่อาศัยไทยจำเป็นต้องอาศัยนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจีนมาช่วยซื้อเพื่อกู้สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง ในปี 2566 นี้ บริษัทมหาชนทุกแห่งต่างแถลงข่าวกันใหญ่ว่าตนจะสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ๆ  อีกจำนวนมหาศาลกว่าปี 2565 เสียอีก

ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ที่ผมเป็นประธาน และทำการสำรวจข้อมูลจริงอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ก็ระบุว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 จะเติบโตกว่าปี 2565 ถึง 10% และในปี 2567 จะยังเติบโตต่อเนื่องอีก 5%

มีบางคนระบุว่า “คนสูงอายุราว 300 ล้านคนในจีน ถ้าอสังหาฯไทย ดึงออกมาได้สัก 10% จากกลุ่มคนที่เป็นลูก-หลาน มองหาที่อยู่อาศัยให้พ่อแม่ เพื่อหลบภัยหนาวในช่วงบั้นปลายชีวิตแล้ว ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมาก

หากสามารถดึงเม็ดเงินของชาวจีนซึ่งขึ้นแท่นว่ามีเงินออมสูงสุดในโลก มาเป็นเม็ดเงินซื้อหรือลงทุนอสังหาฯไทย”

ข้อนี้เป็นความเท็จเพราะ

1. ถ้าดึงมาได้ถึง 30 ล้านคน ก็ครองเมืองไทยไปแล้ว สร้างงานสร้างอาชีพและจ้างคนจีนมาทำงาน โดยที่คนไทยและประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ใดๆเลย

2. คนที่ได้ประโยชน์จริงคือนักพัฒนาที่ดิน ไม่ใช่ผู้รับเหมา หรือแรงงานก่อสร้าง (เพื่อนบ้าน)

พวก “คนขายชาติ” พยายามแก้ต่างให้จีนโดยกล่าวว่า “สำหรับ ข่าวทุนจีนสีเทา ที่กลายเป็นข้อเกลียดชังในสังคมไทย เกี่ยวพันการครอบครองอสังหาฯนั้น

. . .ไม่ต้องการให้ไทยนำประเด็นดังกล่าว มาสร้างเงื่อนไขกับชาวจีนเพิ่มเติม ท่ามกลางชัดเจนแล้วว่า วันนี้เราต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น” แสดงว่าเราต้องยอมรับทุนสีเทาโดยดุษฎี!?!

มีคน “ชงวีซ่าบ้านหลังที่ 2 ตามราคาซื้อ. . .เช่น ซื้อคอนโดฯ ราคา 3 ล้านบาท ได้วีซ่าอยู่ไทย 3 ปี / 5 ล้านบาท อยู่ไทยได้นาน 5 ปี หรือ 10 ล้านบาท แลกวีซ่า 10 ปี. . .”

นี่เป็นการขายชาติชัดๆ เพราะในประเทศจีนเอง เขายังให้คนจีนถือกรรมสิทธิ์บ้านหรือห้องชุดได้ไม่เกิน 70 ปี แต่เราจะกลับให้คนจีนมาซื้ออยู่ได้ชั่วกัลปาวสาน

แถมให้ซื้อห้องชุดราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งก็เท่ากับมาแย่งคนไทยซื้อบ้าน เป็นการก่อกรรมทำเข็ญกับคนในชาติเดียวกันโดยแท้

พวก “ขายชาติ” รายใหญ่ๆ บางคนก็เสนอว่าให้จีนมาซื้อ “. . . เช่น บ้านเดี่ยว 50 ตารางวา หรือ อย่างน้อยบ้านแฝด 30-40 ตารางวา” นี่เท่ากับ “ได้คืบ (คอนโด) จะเอาศอก (บ้านแนวราบ) เพิ่มเติม

ทั้งที่กฎหมายไม่เปิดช่องให้ ก็จะพยายามขายบ้านและที่ดินให้จีนให้ได้ มุ่งเอาใจคนจีนที่อยากมาซื้อบ้านแนวราบ โดยไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ

เช่น ควรกำหนดมาตรการให้ต่างชาติรวมทั้งคนจีนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ดังนี้

1. ให้ซื้อในราคาสูงกว่าปกติ เช่น มาเลเซียซื้อในราคา 8-16 ล้านบาทขึ้นไป

2. เก็บภาษีซื้อ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เก็บถึง 30-35% ของราคาขาย

3. ห้ามขายต่อในเวลา 3 ปี แรก และห้ามอยู่เกิน 4 เดือนใน 1 ปี (เช่น ไต้หวัน)

4. ห้ามขายต่อให้คนต่างชาติกันเอง ขายต่อได้เฉพาะคนท้องถิ่นเท่านั้น (ออสเตรเลีย)

พวกที่อยากขายที่ดินให้ต่างชาติอ้างว่าถ้าไม่ให้ต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินในไทย ต่างชาติก็อาจไปซื้อแบบ “ใต้ดิน” เช่น ใช้นอมินีในการซื้อ

ข้อนี้รัฐบาลไทยต้องแก้ไขปัญหา การฉ้อฉลด้วยการตั้งบริษัทไทยแบบกำมะลอซื้อ การสวมบัตรประชาชนคนไทย การแปลงสัญชาติให้คนจีน (ซึ่งเกิดกับพวกจีนเทาๆ ที่ผ่านมา) ต้องได้รับการปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (ไม่ใช่แบบไฟไหม้ฟาง)

ถ้าต่างชาติเห็นไทยเอาจริง ก็จะไม่กล้า ลองคิดดูว่าเราไปซิกแซกซื้อบ้านที่ดินในจีนก็คงไม่ได้ แต่จีนกลับมาทำกับประเทศไทยได้

ถ้าไทยฟังแต่พวกนายทุนที่อยากขายชาติขายแผ่นดินเพื่อเอาเงินเข้ากระเป๋าของตนเอง ไม่ช้าไทยก็คง “สิ้นชาติ” แน่นอน.

คอลัมน์ อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน

ดร.โสภณ พรโชคชัย

ประธานกรรมการศูนย์ข้อมูล วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ 

บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส 

www.area.co.th