สมาร์ทโฮมโตกระฉูดรับอานิสงส์บ้านหรูแรงต่อเนื่อง
“มอร์เกน” รับอานิสงส์บ้านหรูแรงต่อเนื่องหนุนตลาดสมาร์ทโฮมโตกระฉูด ทุ่มงบ 50 ล้านรุกตลาดเปิดตัวโฮมออโตเมชั่นชูจุดแข็งด้านดีไซน์ ศิลปะ และเทคโนโลยีหวังดันขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดลักซ์ชัวรีสมาร์ทโฮมภายใน 3 ปี
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มลักซ์ชัวรีที่มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2567 มีจำนวนบ้านและคอนโดมิเนียมในเซกเมนต์ลักซ์ชัวรีเพิ่มขึ้นถึง 3,000 ยูนิต ซึ่งเฉลี่ยมูลค่ารวมตกแต่งอยู่ที่ยูนิตละ 50 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมตลาดมีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านบาทต่อปี !!
ณพัชร อัมพุช กรรมการผู้จัดการ และเบญจ เบญจรงคกุล กรรมการ บริษัท มอร์เกน (ประเทศไทย) จำกัด มองเห็น"โอกาส"จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความนิยมกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ในเซกเมนต์ลักซ์ชัวรีมากขึ้น จึงได้เปิดตัวโฮมออโตเมชั่นจากประเทศเยอรมนีภายใต้แบรนด์ “มอร์เกน” (Moorgen) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นด้านการผสมผสานงานดีไซน์ ศิลปะ และเทคโนโลยี เอาไว้ด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสกับประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 4 ด้าน (Sense) ได้แก่ รูป (Sight) เสียง (Hearing) กลิ่น (Scent) และการสัมผัส (Touch)
โดยปัจจุบัน “มอร์เกน” (Moorgen) มีสิทธิบัตรด้านงานดีไซน์จำนวน 61 ฉบับ และด้านเทคโนโลยี 25 ฉบับด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่มีผลงานดีไซน์ร่วมกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังระดับโลกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘Zaha Hadid’ ดีไซน์เนอร์และสถาปนิกชื่อดังชาวอังกฤษเบอร์หนึ่งของศตวรรษนี้ หรือ ‘Philippe Starck’ สถาปนิกและนักออกแบบผลิตภัณฑ์ (Industrial Designer) ชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลก
รวมไปถึง ‘Kengo Kuma’ สถาปนิกและดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดดีไซน์เนอร์ชั้นนำของโลกด้านการออกแบบงานไม้ และการที่ “มอร์เกน” (Moorgen) ได้ร่วมออกแบบระบบโฮมออโตเมชั่น (Luxury Home Automation) กับเหล่าดีไซน์เนอร์ชื่อดังนั้น นับเป็นการตอกย้ำถึงจุดเด่นของแบรนด์ที่ให้ความสำคัญด้านงานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ “มอร์เกน” เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกในกลุ่มลักซ์ชัวรี โฮมออโตเมชั่น
โดยระบบทั้งหมดนี้สามารถควบคุมได้จากแผงควบคุมที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนของตกแต่งบ้านชิ้นหนึ่งโดยดีไซน์เนอร์ชั้นนำระดับโลก และทุกฟังก์ชั่นการใช้งานผู้อยู่อาศัยสามารถร่วมออกแบบกับทางแบรนด์ได้ เพื่อให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์และกิจกรรมโปรด
ณพัชร ระบุว่า จากพฤติกรรมของผู้โบริโภคที่เปลี่ยนไปซึ่งจะเห็นได้จากในโซเชียลมีเดียว่าคนนิยมในไลฟ์สไตล์ลักซ์ชัวรีกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความนิยมในโอมากาเสะ Fine Dining เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ไปจนถึงการเลือกใช้สินค้ากลุ่มแบรนด์เนม ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไลฟ์สไตล์เหล่านี้อาจจะพบได้ในกลุ่มคนบางกลุ่ม แต่ในปัจจุบันคนสามารถเข้าถึงแบรนด์เนมและไลฟ์สไตล์ที่ลักซ์ชัวรีได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเจ้าของธุรกิจ คนทำงานออฟฟิศ หรือกลุ่มอาชีพอิสระอื่นๆ
ซึ่งปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมของคนไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปตามระดับของรายได้ (Income Level) โดยเห็นได้ชัดจาก GDP per capita เมื่อปี 2003 อยู่ที่ US$2,350 นั้นก้าวขึ้นมาเป็น US$7,800 ในปี 2023 หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 3 เท่าตัว และแน่นอนว่าความนิยมที่เปลี่ยนไปนั้นย่อมส่งผลถึงพฤติกรรมด้านการเลือกที่อยู่อาศัยและทุกองค์ประกอบภายในบ้าน
เบญจ กล่าวเสริมว่า จากพฤติกรรมคนไทยที่เปลี่ยนไปว่าการใช้จ่ายด้านการอยู่อาศัยรวมไปถึงอุปกรณ์ตกแต่งบ้านในเซกเมนต์ลักซ์ชัวรีจะเติบโตขึ้นปีละ 25% ในช่วง 5 ปีนี้ เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันกำลังให้ความใส่ใจกับการมีบ้านเพื่อใช้ชีวิต ต้องการบ้านที่สวยเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน ให้ความสำคัญกับดีไซน์และการตกแต่งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สังเกตได้จากการความนิยมในการใช้มัณฑนากร รวมถึงความสนใจในงานศิลปะทั้งภาพวาด (Painting) หรือรูปปั้น (Sculpture) ที่นิยมนำมาตกแต่งบ้าน และการออกแบบบ้านให้เหมาะกับกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเฉลิมฉลองกับคนรัก ครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน หรือแม้กระทั่งการจัดโซนสำหรับงานอดิเรกอย่างการทำกาแฟ ฟังเพลง หรือการใช้บริการ Chef Table ที่บ้าน โดยกิจกรรมเหล่านี้หากมี Personalized Scene & Mood ที่ถูกออกแบบให้เหมาะกับกิจกรรมก็จะสามารถยกระดับประสบการณ์ในการใช้ชีวิต (Elevate Living Experience) ภายในบ้านได้ โดยหัวใจหลักของการสร้างแบรนด์ลักซ์ชัวรีให้ได้รับความนิยมคือการสร้างสรรค์ประสบการณ์อันน่าประทับใจและไม่เหมือนใครให้กับลูกค้า
โดยกลุ่มเป้าหมาย “มอร์เกน” (Moorgen) ลุยเจาะกลุ่มผู้ออกแบบ สถาปนิก และผู้ออกแบบตกแต่งภายใน (Architect & Interior Designer) โดยปัจจุบันแบรนด์มีพันธมิตรกว่า 200 ราย ที่จะเร่งผลักดัน “มอร์เกน” (Moorgen) ให้ได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงกลุ่มเจ้าของอสังฯ ในเซกเมนต์ลักซ์ชัวรีทั้งบ้านและคอนโดฯ ซึ่งทางแบรนด์วางกลยุทธ์ที่จะทำการตลาดผ่านการจัด Co-Event ร่วมกับแบรนด์ลักซ์ชัวรี ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์แฟชั่น นาฬิกา หรือรถยนต์ เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มคนที่ใช้สินค้าลักซ์ชัวรี
ปัจจุบัน “มอร์เกน” (Moorgen) มีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 19 คอลเลกชั่น โดยแต่ละคอลเลกชั่นจะมีเอกลักษณ์งานดีไซน์และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เพื่อตอบโจทย์รสนิยมและการตกแต่งบ้านที่แตกต่างกัน โดยมีคอลเลกชั่นไฮไลท์ ได้แก่ “Zaha Landmark Series” ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นที่ได้ ‘Zaha Hadid Design’ มาร่วมดีไซน์ ผู้ซึ่งสร้างผลงานด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่มีลักษณะโดดเด่นไว้มากมายทั่วโลก จนได้รับฉายาว่า ‘Queen of the Curves’
โดยคอลเลกชั่นนี้นับเป็นการรำลึกและเชิดชูเกียรติประวัติของ ‘Zaha Hadid’ รวมถึงผลงานที่เคยได้ออกแบบไว้และได้ถูกจารึกไว้เป็น Landmark ทั่วโลก ซึ่งคอลเลกชั่นนี้ยังเป็นคอลเลกชั่นแรกของโลกที่ใช้ดีไซน์แบบ Split-level Button Design เพื่อเพิ่มมิติให้แก่กับแผงควบคุม (Panel) เมื่อเวลามองจากด้านข้างหรือด้านหน้าจะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังมีการใช้เซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวของมนุษย์ (Human Presence Detector) เพื่อให้ระบบทำงานแบบอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันแผงควบคุม (Panel) ก็มีความสวยงามเปรียบดังผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ถูกจัดแสดงไว้บนผนังในยามไม่ถูกใช้งาน ซึ่งในแง่ของเทคโนโลยีนั้นยังเป็นการช่วยบริหารจัดการการใช้พลังงานของอุปกรณ์อีกด้วย
สำหรับทิศทางแบรนด์ในอนาคต “มอร์เกน” (Moorgen) เตรียมเปิดตัวสินค้ายูนิตใหม่ในกลุ่ม ‘Designer Smart Door Lock’ และ ‘Designer Lighting’ และยังคงตอกย้ำจุดแข็งของแบรนด์ด้วยการร่วมมือกับดีไซน์เนอร์และสถาปนิกชื่อดังระดับโลกต่อไป ล่าสุดได้พร้อมทุ่มงบ 50 ล้านบาท เพื่อตั้งเป้าดันแบรนด์ขึ้นแท่นผู้นำอันดับ 1 ตลาดลักซ์ชัวรีสมาร์ทโฮมภายใน 3 ปี และคาดการณ์รายได้ปิดปี 2567 ไว้ที่ 80 ล้านบาท