ทาวน์เฮ้าส์โซน EEC ไตรมาส 1 ปีนี้ ยอดขายติดลบ 28.4% ส่อลามบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด

ทาวน์เฮ้าส์โซน EEC ไตรมาส 1 ปีนี้ ยอดขายติดลบ 28.4% ส่อลามบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยภาพรวมอสังหาฯโซนอีอีซีQ1/67 ยอดขายใหม่จำนวนลดลงโดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ติดลบถึง28.4%เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดต่อเนื่องกันมา 5 ไตรมาสขณะที่บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมียอดขายใหม่ติดลบ9.1% และ 5.4 % ตามลำดับ

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เผยรายงานผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 1 ปี 2567 ของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยได้ทำการสำรวจเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย REIC พบว่า ภาพรวมในพื้นที่ EEC 3 จังหวัด มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขาย 50,401 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

แบ่งเป็นหน่วยเสนอขายที่เป็นอาคารชุด 22,657 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 มูลค่า 80,972 ล้านบาท และหน่วยเสนอขายที่เป็นบ้านจัดสรร 27,744 หน่วย ลดลงร้อยละ -13.8  มูลค่า 92,448 ล้านบาท

โดยพบว่า หน่วยเสนอขายที่เป็นอาคารชุดส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 88.7 อยู่ในจังหวัดชลบุรี ขณะที่บ้านจัดสรรอยู่ในจังหวัดชลบุรีร้อยละ 49.3 ที่เหลือกระจายอยู่ในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทราร้อยละ 34.2 และ 16.5 ตามลำดับ

การเปิดตัวโครงการใหม่ในภาพรวม EEC มีจำนวน 8,420 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.6 โดยมีมูลค่า 32,240 ล้านบาท โดยหน่วยเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.6 เป็นอาคารชุด และอาคารชุดส่วนใหญ่เปิดใหม่เกือบทั้งหมดถึงร้อยละ 97.2 อยู่ในจังหวัดชลบุรี และทาวเฮ้าส์ส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 79.9 อยู่ในจังหวัดชลบุรีเช่นกัน

ขณะที่บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดชลบุรีและระยองใกล้เคียงกันที่ร้อยละ 43.4 และ 41.8 สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรามีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ค่อนข้างน้อยในทุกประเภทที่อยู่อาศัย

ขณะที่ยอดขายได้ใหม่ในภาพรวม EEC มีจำนวน 6,557 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 โดยมีมูลค่า 21,745 ล้านบาท

ทั้งนี้พบว่าเป็นผลมาจากการขยายตัวภาพรวมการขายอาคารชุดใหม่ที่มีจำนวน 3,112 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 100.0 โดยมีมูลค่าการขาย 9,749 ล้านบาท ซึ่งอาคารชุดที่ขายได้เกือบทั้งหมดถึงร้อยละ 89.6 ขายได้ใหม่อยู่ในจังหวัดชลบุรี

ขณะที่ยอดขายใหม่ของบ้านจัดสรรในภาพรวม EEC มีจำนวนเพียง 3,445 หน่วย ลดลงร้อยละ -17.7  มีมูลค่า 11,996 ล้านบาท 
 

นายวิชัย กล่าวว่า ผลจากที่หน่วยอาคารชุดเปิดใหม่มากกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่ได้ส่งผลทำให้เกิดการสะสมของหน่วยเหลือขาย โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยเหลือขายในพื้นที่ EEC จำนวน 43,844 หน่วย ลดลงร้อยละ -1.6 โดยมีมูลค่า 151,674 ล้านบาท

โดยเป็นอาคารชุดเหลือขาย 19,545 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.0 มีมูลค่ารวม 71,223 ล้านบาท โดยอาคารชุดที่เหลือขายส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 88.5 อยู่ในจังหวัดชลบุรี 

ขณะที่บ้านจัดสรรที่แม้ว่ามียอดขาย"ลดลง"เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ยังมีจำนวนหน่วยที่เปิดตัวใหม่ที่น้อยกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่มากพอสมควร ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายของบ้านจัดสรรมีจำนวน 24,299 หน่วย ลดลงร้อยละ -13.2 มีมูลค่า 80,451 ล้านบาท

โดยพบว่า หน่วยเหลือขายที่เป็นอาคารชุดส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 88.5 อยู่ในจังหวัดชลบุรี ขณะที่บ้านจัดสรรอยู่ในจังหวัดชลบุรีร้อยละ 49.2 ที่เหลือการขายอยู่ในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทราร้อยละ 34.2 และ 16.7 ตามลำดับ

นายวิชัย ระบุว่า จากการพิจารณาโดยแยกตลาดอาคารชุดและแนวราบออกมาให้ชัดเจน ตลาดอาคารชุดในไตรมาส 1 ปี 2567 มีความคึกคักขึ้นในพื้นที่จังหวัดชลบุรีเท่านั้น โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากในโซนพัทยาถึงจอมเทียนมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงกว่า 1.5 เท่า และมีการตอบสนองต่อตลาดที่ดีในระดับหนึ่งโดยมียอดขายใหม่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1 เท่าตัว

ส่วนใหญ่เกิดจากโครงการที่เปิดใหม่ได้รับความสนใจเลือกซื้อมากกว่าทำให้หน่วยขายได้ใหม่เพิ่มขึ้นมาก แต่หน่วยที่เหลือมาจากไตรมาสก่อนหน้า ขายได้ช้ากว่า จึงทำให้หน่วยเหลือขายของอาคารชุดในภาพรวมของ EEC เพิ่มขึ้นมาก


สำหรับบ้านจัดสรรที่เหลือขายในภาพรวม EEC พบว่า ยอดขายได้ใหม่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยลดลงในประเภท โดยประเภททาวน์เฮ้าส์มียอดขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ที่ลดลงถึงร้อยละ -28.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดต่อเนื่องกันมา 5 ไตรมาส  

ขณะที่ประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมียอดขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ลดลงร้อยละ -9.1 และ -5.4  และเป็นไตรมาสที่มีจำนวนหน่วยขายที่อยู่ในระดับที่ต่ำพอสมควร

 “แต่ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ที่น้อยกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่ ทำให้หน่วยที่เหลือขายสะสมของตลาดบ้านจัดสรรมีทิศทางที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝด สำหรับบ้านเดี่ยวแม้ว่าจะมียอดขายได้ใหม่ที่ลดลง แต่ยอดขายได้ใหม่มากกว่าหน่วยเปิดตัวในไตรมาสก่อนเล็กน้อย ส่งผลให้หน่วยเหลือขายของบ้านเดี่ยวมีการสะสมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย”