ความเชื่อมั่นอสังหาฯไตรมาส3/67ร่วง!ยอดโอนติดลบ คนหันซื้อบ้านมือสอง

ความเชื่อมั่นอสังหาฯไตรมาส3/67ร่วง!ยอดโอนติดลบ คนหันซื้อบ้านมือสอง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผยดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หมวดที่อยู่อาศัยในไตรมาส3/67 อยู่ที่ 76.8 ซึ่งลดลงจากปีก่อน -3.2% สะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่ติดลบ3% ความนิยมในบ้านมือสองที่มีการเพิ่มขึ้น

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่น่าสนใจ แม้จะยังมีสัญญาณความเชื่อมั่นที่ต่ำกว่าค่ากลาง แต่การปรับตัวขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นการซื้อที่อยู่อาศัย (Housing Purchase Confidence Index: HPCI) กลับสะท้อนถึงทิศทางที่ดีขึ้นของตลาดในภาพรวม

ตามรายงานจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หมวดที่อยู่อาศัยในไตรมาสนี้อยู่ที่ 76.8 ซึ่งลดลงจากปีก่อน -3.2% แต่เมื่อลงลึกไปในรายละเอียด จะเห็นว่าการลดลงนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ลดลง -15.1% และไตรมาสที่สองที่ลดลง -9.4% สถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว มีการขยายตัวของ GDP ที่เพิ่มขึ้น 3.0% ในไตรมาสที่ 3 จึงทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มกลับมาดีขึ้น

แม้ว่าดัชนีจะยังคง"ติดลบ"เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ตลาดในตอนนี้เริ่มแสดงสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะจากฝั่งอุปทานที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับกลยุทธ์มาพัฒนาโครงการที่เหมาะสมกับกำลังซื้อในช่วงราคาที่ไม่เกิน 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การลดลงของอุปสงค์ที่สะท้อนจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่ลดลง -3.0% ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนีรวมยังคงลดลง

ความเชื่อมั่นอสังหาฯไตรมาส3/67ร่วง!ยอดโอนติดลบ คนหันซื้อบ้านมือสอง

ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ ดัชนีความเชื่อมั่นการซื้อที่อยู่อาศัย (HPCI) กลับเพิ่มขึ้นจาก 39.6 จุด ในไตรมาสที่ 2 เป็น 40.5 จุด ในไตรมาสที่ 3 แม้ว่ายังคงต่ำกว่าค่ากลาง 50.0 จุด แต่การเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นจากทั้งปัจจัยภายนอกและนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล รวมไปถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยอีกครั้ง
 

เมื่อพิจารณาลักษณะของผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย พบว่า ผู้หญิงมีความเชื่อมั่นในการซื้อสูงกว่าผู้ชาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเพศหญิงอาจมองว่าที่อยู่อาศัยเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากกว่า โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 25-34 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แสดงความต้องการซื้อสูงถึง 46.9% ของผู้ที่มีความสนใจในตลาดนี้

อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือ ความนิยมในบ้านมือสองที่มีการเพิ่มขึ้นจาก 8.3% ในไตรมาสที่ 2 เป็น 10.0% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ซื้อเริ่มมองหาทางเลือกที่มีราคาประหยัดมากขึ้น ขณะที่บ้านเดี่ยว ยังคงเป็นที่ต้องการสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงราคาที่ 3.01 – 5.00 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยอาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลับมามีความคึกคักมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2567 และต่อเนื่องไปในอนาคต

การฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงนี้จึงถือเป็นสัญญาณบวกที่นักลงทุนอสังหาฯ ไม่ควรมองข้าม หากเศรษฐกิจและนโยบายต่างๆ ยังคงสนับสนุนการเติบโต ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจมีศักยภาพในการกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต