พราว ชูลักชัวรีทราเวล - หนุน Crypto wallet ร่วมพลิกประเทศ

พราว ชูลักชัวรีทราเวล - หนุน Crypto wallet ร่วมพลิกประเทศ

พราว หนุนไทย มุ่งลักชัวรีทราเวล ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพ มาใช้จ่ายมากกว่าเน้นจำนวน พร้อมจับตาภูมิรัฐศาสตร์ -เสนอใช้ Crypto wallet เมืองท่องเที่ยวภูเก็ต หนุนเศรษฐกิจ

นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD  กล่าวในงาน สัมมนา “Thailand Economic Drives 2025” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ วันนี้ (7ก.พ.) ว่า ในฐานะที่บริษัทมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องภาคการท่องเที่ยว จึงอยากเน้นประเด็นใน 3 ด้านที่มีความสำคัญกับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งเรื่องเทรนด์ลักชัวรีทราเวล เป็นผลดีต่อประเทศไทยในเรื่องการเน้นนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ต่อมา เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ และ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) รวมถึงความยั่งยืน ต่างมีบทบาทและมีความสำคัญต่อภาคธุรกิจมากขึ้น 

สำหรับมิติทางด้านการท่องเที่ยว โดยเมื่อประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวโลกในปี 2024 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวทั่วโลกมีจำนวนรวมประมาณ 1,300 ล้านคน และมีการใช้จ่ายทางด้านการท่องเที่ยวประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่อหัวประมาณ 40,000 บาทต่อคน แต่ในไทยประมาณ 50,000 บาทต่อคน ถือว่า ภาพรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยสูงกว่านักท่องเที่ยวในโลก 

ทั้งนี้ในประเทศหลัก ทั้ง สหรัฐ การท่องเที่ยวกลับมาก่อนโควิดแล้ว ส่วนตลาดที่เป็นท่องเที่ยวดั้งเดิมกับ ยุโรป กลับมาขยายตัวดีมากกว่าเดิม ส่วนในตลาดใหม่ของการท่องเที่ยว ทั้งอินเดียและตะวันออก เริ่มกลับมาแต่ยังไม่ได้เยอะมาก

ชูการท่องเที่ยวเน้นเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวมากกว่าจำนวนคน

ขณะที่ประเทศไทยภาพรวมนักท่องเที่ยวในปี 2568 คาดการณ์ไว้ที่ 38 ล้านคน แต่ในปีก่อนประมาณ 35 ล้านคน ยังไม่ได้กลับมาพีคถึงจุดสูงสุดที่อยู่ในระดับ 40 ล้านคน จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทย โดยควรมุ่งปรับยุทธศาสตร์ใหม่ที่ไม่ได้เน้นแต่ด้านจำนวน แต่เน้นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ (High Value Tourism) และผลักดันเรื่องการใช้จ่ายต่อหัวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากกว่า 

พราว ชูลักชัวรีทราเวล - หนุน Crypto wallet ร่วมพลิกประเทศ

ภูมิรัฐศาสตร์โอกาส-ความท้าทาย

ทางด้านความท้าทายจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ในโลกกับการท่องเที่ยว โดยตลาดท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้ไฟลต์บินของภูเก็ตและมอสโก กลายเป็นไฟลต์ที่ความแน่นมากสุด อีกทั้งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักนานขึ้น จากเดิมอยู่ 4-5 วัน ได้ขยายมาอยู่เป็นเดือน โดยเมื่อได้เดินทางไปในภูเก็ตมากขึ้น จึงเกิดการใช้จ่ายและมีโอกาสเข้ามาลงทุน และขยายลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้

รวมถึงนักท่องเที่ยวจากอิสราเอล ได้เข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ต และเข้ามาในสวนน้ำของบริษัทที่ได้เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการกับ “อันดามันดา ภูเก็ต” มีนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลจำนวนสูงมาก และในบางเดือนมีจำนวนนักท่องเที่ยวเท่ากับ นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง แสดงถึงนักท่องเที่ยวยังเลือกมาไทยและภูเก็ต เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ที่ไม่มีผลต่อตลาดท่องเที่ยวภูเก็ต

ต่อมาในประเด็นเรื่องประเทศสหรัฐกับ นโยบาย ทรัมป์ 2.0 ภายหลังที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศนโยบายปรับขึ้นภาษีการค้ากับประเทศต่างๆ เน้นประเทศคู่ค้าหลัก โดยรอบแรกทั้ง แคนาดา เม็กซิโก และจีน ในอัตราเริ่มต้น 10% ซึ่งมีการประเมินจาก “โกลด์แมน แซคส์” ว่า ในเดือน เม.ย.นี้จะมีการรีวิวอีกครั้งและอาจปรับขึ้นอีก 10%

ซึ่งเมื่อพิจารณาการทำการค้าระหว่างสองประเทศในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศจีน ได้ส่งออกไปสหรัฐ มูลค่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และสหรัฐ ส่งออกไปจีนประมาณ 1.4 แสนเหรียญสหรัฐ ดังนั้นหากมีการเก็บภาษีสูงขึ้นอีก 10% ประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ จีน เนื่องจากอัตราภาษีบวกเพิ่มอีก 10% ก็คิดเป็นมูลค่าเพิ่ม 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 

ขณะเดียวกัน ประเทศจีน มีจุดแข็งในเรื่องแร่ธาตุที่เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ ประกาศว่าจะสอบสวนบริษัทสหรัฐที่เข้าไปลงทุนในจีนเช่นกัน ทั้งหมดกระทบต่อนักลงทุนและนักลงทุนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่มีการลงทุนในไทยสูง ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจของจีนในปีที่ผ่านมา ขยายตัว 5% แต่ปัจจุบันเกิดสถานการณ์ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และมาตรการทางภาษีจากสหรัฐมีผลต่อเศรษฐกิจ ทำให้นโยบายของประเทศจีนต้องการมุ่งกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และไม่อยากให้นักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ เพื่อไม่ให้ไปใช้เงินในต่างประเทศ ทั้งหมดสะท้อนถึงไทยที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง และเข้ามาใช้จ่ายไม่เหมือนเดิม 

สำหรับยุโรป หากประเมินนโยบาย ทรัมป์ 1.0 อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง และถือเป็นพาร์ทเนอร์ทางการค้าที่ใหญ่สุดของสหรัฐ แต่ปัจจุบัน ผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปอาจโดนมาตรการทางภาษีเช่นกัน โดยจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้คนมีความต้องการใช้เงินลดลง ซึ่งตลาดยุโรป ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญเช่นกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงเมื่อเดินทางมาไทย

จากหลายประเด็นที่ต้องติดตาม ตลาดกลุ่มที่ขยายตัวดีอยู่คือ ตลาดลักชัวรี ที่ให้น้ำหนักในเรื่องความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความสอดคล้องกับ บริษัท พราวฯ เน้นตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มลักชัวรีเป็นหลัก ได้มุ่งเรื่องความยั่งยืนมาตลอด ซึ่งโครงการสวนน้ำ “อันดามันดา ภูเก็ต” ได้มีการวางระบบให้สอดรับกับมิตินี้เช่นกัน สำหรับระบบบริหารน้ำในโครงการใช้หมุนเวียนเกือบ 100% พร้อมมุ่งจัดการขยะให้เป็นศูนย์ (Waste) การจัดการเรื่องอาหาร ให้เป็น Food waste และเชื่อมโยงกับคอมมูนิตี้ ในการจัดการเศษอาหารต่างๆ และการนำแปรรูปสู่ปุ๋ยผ่านฟาร์ม ที่มีการทำคอนแทคฟาร์มมิงในจังหวัดพังงา และเมื่อได้ผลผลิตจากฟาร์มก็นำไปใช้ในร้านอาหาร ทั้งหมดคือสอดรับกับความยั่งยืนและ Circular economy

“หากประเมินภาพรวมแม้นักท่องเที่ยวอาจจะไม่เพิ่มขึ้น หรือมีจำนวนเท่าเดิม แต่ประเทศไทย สามารถเน้นการใช้จ่ายต่อหัวให้เพิ่มขึ้นมาแทน เป็นเทรนด์ที่ทำได้ พร้อมมุ่งเจาะตลาดลักชัวรี โดยมีการประเมินจากบริษัทวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” 

 

พราว ชูลักชัวรีทราเวล - หนุน Crypto wallet ร่วมพลิกประเทศ

เอไอ เสริมธุรกิจแกร่ง - หนุน Crypto wallet เมืองท่องเที่ยว

ทางด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) เป็นเทรนด์มาแรง โดย บริษัท พราว ได้นำเอไอ มาพัฒนาปรับใช้ในหลายโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ทั้งการใช้ออกแบบบ้านและรูปแบบวัสดุ หรือสีตามที่ลูกค้าต้องการเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากที่สุด

ทั้งนี้เมื่อประเมินในโลกของเทคโนโลยีเอไอ ได้พัฒนาไปสู่การจัดเก็บข้อมูลและทำ แคปเจอร์ คาร์บอนฟรุตพรินท์แบบเรียลไทม์ได้แล้ว ช่วยในการบริหารข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ส่งผลต่อในเรื่องคาร์บอนเครดิตของกลุ่มโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นโอกาสใหญ่มาก ขณะเดียวกันในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศแผนเบื้องต้นว่า ประเทศไทยอาจมีการทำโทเคนดิจิทัลด้านพลังงานสะอาด หรือ คาร์บอนเครดิต เชื่อว่าเป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสามารถเข้ามาลงทุนได้เช่นกัน

สำหรับประเด็นปิดท้ายในเรื่องการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต ที่เป็นเมืองสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศกว่า 3 แสนล้านบาท โดยหากสามารถนำมา Crypto wallet หรือ กระเป๋าเงินคริปโต มาใช้ในจังหวัด เพื่อประเมินได้ว่า นักท่องเที่ยวไปใช้จ่ายในส่วนใดมากที่สุด และเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนสู่พื้นที่เพิ่มขึ้นอีกเท่าใด โดยอยากเสนอให้ภาครัฐบาลนำมาพิจารณาปรับใช้ เชื่อว่าสามารถทำได้จริงและเป็นนโยบายที่มีความเซ็กซี่ด้วย 

อีกทั้งประเด็นพื้นฐานในเรื่องระบบอินฟราสตัคเจอร์ ทั้งเรื่องน้ำและไฟฟ้า โดยแหล่งท่องเที่ยวและมีราคาสูงกว่า รวมถึงมีปัญหาเรื่องความเสถียร ดังนั้น เมื่อนำเอไอมาใช้ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อระบบโดยรวมในเรื่องราคาของทั้งค่าไฟฟ้าและค่าน้ำ ต่อมา การเปิดเสรีพลังงานสะอาด ด้วยการนำระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) จะมีส่วนช่วยในด้านนี้เช่นกัน