ระบบสุขภาพปฐมภูมิ กทม. ต้องรื้อเร่งด่วน ชง 3 ข้อเสนอปฏิรูป
ระบบสุขภาพปฐมภูมิ กทม. ต้องรื้อเร่งด่วน ชง 3 ข้อเสนอปฏิรูป รองรับการระบาด เดินหน้ารักษาทุกที่ไร้รอยต่อ ขยายหน่วยบริการ
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2565 ที่โรงแรมบัดดี้ โอเรียนทอล ริเวอร์ไซด์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวความร่วมมือการขับเคลื่อนแนวทางการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อระดับชาติและโรคอุบัติใหม่ (Big Rock 1) ภายใต้โปรแกรมการยุติโรคระบาดด้วยนวัตกรรม ว่า การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของ กทม.เป็นประเด็นสุขภาพสำคัญเร่งด่วนที่ต้องช่วยกันทำให้เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงด้านสุขภาพ และความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ (Health for Wealth) โดยการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ คือ ส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เมื่อประชาชนเข้าถึงระบบการรักษากับหมอครอบครัวได้สะดวก รวดเร็ว จะหยุดความรุนแรงของโรค ลดโรคแทรกซ้อน การทำให้ประชาชนแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย พร้อมประกอบธุรกิจการงานได้อย่างราบรื่น ช่วยลดความสูญเสียรายได้ของครอบครัว ภาพรวมรายได้ทางเศรษฐกิจ และประหยัดงบประมาณการรักษาพยาบาลของประเทศได้ นโยบายสุขภาพปฐมภูมิของกระทรวงสาธารสุขใช้คำง่ายๆว่า 3 หมอ
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการปฏิรูประบบปฐมภูมิใน กทม. เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคระดับชาติและโรคอุบัติใหม่ ซึ่งการพัฒนาการแพทย์ปฐมภูมิในเรื่องต่างๆ มีข้อเสนอ คือ 1.การรักษาทุกที่ทุกเวลาแบบไร้รอยต่อ เป็นนโยบายที่มอบไว้ให้ทุกเขตสุขภาพเร่งดำเนินการ และเมื่อจะดำเนินการใน กทม.ด้วยจึงเป็นเรื่องที่ดีมาก หวังว่าคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานหรือพักอาศัยในเมืองหลวง จะได้รับทั้งสิทธิการรักษา และข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลต่างจังหวัด ส่งมาให้ถึงโรงพยาบาลใน กทม.โดยเร็ว
2.การขยายหน่วยบริการ เนื่องจากโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใน กทม. เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง จึงใช้นโยบายเพิ่มการเข้าถึงบริการที่เน้นนวัตกรรม พัฒนาระบบ Telemedicine และ Home ward โดยมอบหมายให้ สปสช.ร่วมกำหนดแนวทางการจ่ายค่าชดเชยการบริการใหม่อย่างเหมาะสม เพื่อรองรับการบริการในสังคมสูงอายุ ที่จะมีผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียงเพิ่มขึ้น
และ 3.การพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส) ของ กทม. ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา อสม. ซึ่งการอบรมหลักสูตรผู้ช่วยพยาบาลของ อสม.ได้มีโควตาของ อสส.ด้วย โดยขอให้ กทม.บูรณาการระบบอาสาสมัครสาธารณสุขของประเทศร่วมกัน อาจจะเริ่มจากการใช้แอปพลิเคชัน Smart อสม เพื่อให้ อสส.ได้รับความรู้ข่าวสารไปพร้อมๆ กับ อสม.
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งหน่วยบริการปฐมภูมิเพิ่มในระบบประกันสังคมอย่างน้อย 360 แห่ง ทั้งโรงพยาบาล คลินิกประกันสังคม คลินิกชุมชนอบอุ่น และคลินิกเวชกรรม เพิ่มรูปแบบเครือข่ายหน่วยบริการสาขา เช่น ร้านยา คลินิกเฉพาะทาง, การกระจายงบประมาณจากโรงพยาบาลไปยังหน่วยปฐมภูมิเพิ่มขึ้นของกองทุนประกันสุขภาพต่างๆ, การเพิ่มการเข้าถึงบริการทุติยภูมิ มีการอภิบาลระบบ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน เพิ่มอาสาสมัครแบบเปิด และรูปแบบการจัดการแบบอาคารสูง หมู่บ้าน คอนโด เป็นต้น
จากข้อเสนอแนวทางการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิใน กทม. ของคณะกรรมการปฏิรูประบบสาธารณสุข หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องจะนำไปพิจารณาและร่วมดำเนินการกับ กทม.และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งจากนโยบาย สุขภาพดี ของ กทม. มั่นใจว่าต่อไประบบสุขภาพของประเทศไทยจะมีความสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกัน
"ผลลัพธ์ภาพรวมภาวะสุขภาพของประชาชนในประเทศไทยจะดีขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์จากเขตสุขภาพต่างๆ เพื่อปรับให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของชุมชนเมืองร่วมกับ กทม. โดยขอให้ช่วยกันทำให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรง และมีความรอบรู้ในการดูแลสุขภาพ เนื่องจากการไม่เจ็บป่วย จะไม่สร้างภาระให้ตัวเอง ครอบครัว และงบประมาณ เพราะ Health is one kind of wealth" นายอนุทินกล่าว
ด้าน น.ส.บุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า แนวทางการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิในกรุงเทพมหานคร (Big rock 1) ภายใต้โปรแกรมยุติโรคระบาดด้วยนวัตกรรม (Ending Pandemics through Innovation : EP1) เพื่อเตรียมความพร้อมและรองรับสถานการณ์การระบาดเชื้อโรคระดับชาติและโรคอุบัติใหม่ จำเป็นต้องได้รับการยกระดับมาตรฐานการบริการสาธารณสุข มีการติดตามผลลัพธ์เชิงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการส่งเสริมนำเทคโนโลยีด้านการดูแลรักษาผ่านระบบทางไกล (Telehealth medicine) เพื่อลดช่องว่างการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ตอบโจทย์การบริการเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่อยู่ท่ามกลางสังคมเมือง ดังเช่นกรุงเทพมหานคร
ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีจำนวนผู้ประกันตนทั้งสิ้น 3,604,602 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทะเบียนในสถานบริการระดับ 100 เตียงขึ้นไป ยังขาดการเชื่อมต่อกับหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ซึ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ที่ผ่านมา พบว่าการส่งต่อผู้ประกันตนที่ติดเชื้อไปยังหน่วยบริการนั้น มีความยากลำบากมาก เพราะขาดหน่วยบริการเชื่อมต่อ หรือหน่วยบริการเบื้องต้นก่อนการส่งต่อในกลุ่มผู้ประกันตน ตัวอย่างเช่น ช่วยการระบาดหนักในแคมป์คนงาน โดยกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเร่งออกมาตรการ Bubble and seal ในแคมป์คนงานที่มีการระบาดจำนวนมาก
“หน่วยบริการปฐมภูมิจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นด่านหน้าใกล้ชิด เป็นจุดเชื่อมต่อบริการจากบุคคล ครอบครัว ชุมชน โรงงาน บริษัท สถานประกอบการไปยังหน่วยบริการขนาดใหญ่ ทำให้การเข้าถึงบริการมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น" น.ส.บุปผากล่าว
ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า แนวทางการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ ในส่วนของ กทม.จะต้องทำการพัฒนาตนเองให้มีมาตรฐานที่ประชาชนเชื่อมั่น โดยทุกคนจะต้องมีบุคคลที่อยู่เคียงข้าง ติดต่อได้ยามเจ็บป่วย อาจเป็น อสส.หรือเพื่อนบ้าน หรือเอ็นจีโอ ภาคส่วนต่างๆ ที่จะให้การช่วยเหลือส่งต่อผู้ป่วยเข้าระบบรักษาพยาบาล ซึ่งการพัฒนาตรงนี้ รพ.และเครือข่ายจะต้องช่วยกันลดช่องว่างที่มีอยู่