อภิปรายไม่ไว้วางใจ ปมโควิด 19 “อนุทิน” ตอบSaveระบบสาธารณสุขไม่ล้มเหลว
อภิปรายไม่ไว้วางใจ ปมโควิด 19 “อนุทิน” ตอบระบบสาธารณสุขไม่ได้ล้มเหลว จัดซื้อเวชภัณฑ์ตามกฎหมาย ทันเวลา วัคซีนช่วยรักษาชีวิตคนไทยไว้แล้วถึง 4.9 แสนคน อัด “หมอสุรวิทย์” โหดร้าย ใช้ข้อมูลเท็จอภิปราย แลกชีวิตหวังผลการเมือง
เมื่อเวลา 14.40 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องการบริหารจัดการสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19ว่า เรื่องนี้ถูกจัดให้เป็นเรื่องอภิปรายทุกครั้งที่มีการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจและทุกครั้งได้พยายามหาหลักฐานข้อมูลมาชี้แจงข้อกังวล ส่วนความห่วงใยและคำแนะนำต่างๆที่เป็นประโยชน์ได้นำไปฏิบัติเพื่อประชาชน ไม่ได้ปิดกั้นรับฟังความเห็นต่างๆ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 3 ของสถานการณ์โควิด 19 ปรากฎว่าสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ และระบบสาธารณสุขไม่ได้ล้มเหลวหรือล่มสลายตามที่มีการอภิปราย
ช่วงปีแรกประเทศไทยเตรียมรับการระบาดก่อนที่องค์การอนามัยโลกประกาศเป็นโรคระบาดทั่วโลกถึง 6 สัปดาห์ และประกาศพบผู้ป่วยนอกประเทศเป็นประเทศแรกของโลก ได้เตรียมการรับมือทุกองคาพยพด้านสาธารณสุขที่มีอยู่ เพื่อความพร้อมเฝ้าระวัง คัดกรอง รักษาผู้ป่วย ประเทศไทยเป็น 1 ในไม่กี่ประเทศที่ให้การรักษาผู้ป่วยโควิด 19ในประเทศทุกราย ทั้งในและนอกสถานพยาบาลจนหายป่วย
โดยรัฐบาลได้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ค่ายา เวชภัณฑ์และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)บริหารจัดการ และเร่งจัดหาวัคซีนทุกชนิดมาเสริมภูมิคุ้มกันประชาชน จนถึงปัจจุบันฉีดแล้ว กว่า 140 ล้านโดส มากกว่า 70 % ของจำนวนประชากรและมากกว่า 90 % ของประชากรที่เป็นความเสี่ยง
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า วัคซีนทุกชนิดลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ความรุนแรงอาการป่วย และป้องกันเสียชีวิตอย่างเห็นได้ชัด เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2565 ม.มหิดลร่วมกับม.นเรศวร ระบุว่า วัคซีนที่ไทยฉีดรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว490,000 คน หมายความว่าหากวัคซีนไม่ทันเวลาหรือล่าช้า จะมีการสูญเสียชีวิตอีกนับแสนราย เพราะฉะนั้น จะต้องไม่ด้อยค่าวัคซีน ประเทศไทยจัดหาวัคซีน ได้ครอบอคลุมทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กเล็กถึงวัยชรา นำหน้าหลายประเทศ และไม่มีวัคซีนเหลือ หรือรอวันหมดอายุ หรือเททิ้ง
ผู้อภิปรายพยายามด้อยค่าทั้งวัคซีนผลิตจากประเทศจีน ด้อยค่าวัคซีนแอสตร้าฯ ที่ไว้ใจมาตั้งฐานผลิตในประเทศไทย ซึ่งทำให้ไทยเข้าถึงวัคซีนได้ง่าย ขอเรียนว่าอย่าฟังมาเฉยและมีคนทำสไลด์ให้แล้วมาพูด ท่านเคยอยู่สธ.มาด้วย แต่วันนี้ทัศนคติต่อสธ.เปลี่ยนแปลง ทุกคนที่สธ.ยังเรียกท่านอาจารย์ทุกคน และคิดว่าท่านจะสนับสนุนทุกคนที่ทุ่มเททำให้ประชาชนปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด 19
“ข้อมูลที่ท่านนำเสนอเป็นเท็จ ไม่ได้กรอง แต่พวกผมหน้างานกรอง ก่อนพูดต้องถามแล้วถามอีก ถาม 1 คนไม่เชื่อต้องไปถามซ้ำ การเผยแพร่ข้อมูลออกสู่การรับรู้ประชาชน โดยเกี่ยวข้องกับชีวิต เช่น ดูถูกหลักการแพทย์ ด้อยค่ายา วัคซัน เวชภัณฑ์ เป็นเรื่องโหดร้าย ทุกอย่างท่านแลกหมด แม้แต่ชีวิตประชาชน เพื่อตอบสนองผลทางการเมือง ขอให้เว้นเรื่องการสาธารณสุขสักเรื่อง หากจะขับเคี่ยวทางการเมืองไปแข่งขันได้ในพื้นที่ ถ้าแป็นเรื่องบาดหมางทางการเมือง ก็ขอให้เป็นเรื่องพวกเรา อย่าเอาคนอื่นหรือประชาชนทั้งประเทศมาเกี่ยวข้อง”นายอนุทินกล่าว
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า อย่าเอาความเท็จมาให้ประชาชน ซึ่งสร้างความตระหนก สิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมด สุดท้ายองค์การอนามัยโลก(ฮู)ยกย่องไทยเป็นต้นแบบประเทศรับมือโควิด19ยอดเยี่ยม และสถานบันที่น่าเชื่อถือของโลก มีการประเมินความมั่นคงทางสุขภาพปี 2564 ให้ไทยมีความมั่นคงทางสุขภาพ พร้อมรับมือการระบาดอันดับ 5 ของโลก อันดับ 1 ของเอเชีย นี่คือผลการดำเนินการตลอดการดำเนินการระบาด
การจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ได้ดำเนินการตามระเบียบจัดซื้อทุกอย่างตามที่กฎหมายกำหนดไว้ บางครั้งจำเป็นต้องเร่งด่วนต้องจัดซื้อจัดหาก็ขอคณะกรรมการต่างๆมากมาย เสนอครม. ศบค.รับทราบ และผู้ขายยา เวชภัณฑ์ และวัคซีนโควิด เป็นการขึ้นทะเบียนแบบภาวะฉุกเฉิน ที่ผู้ผลิตขายให้รัฐบาลโดยตรงเท่านั้น เป็นยาหาไม่ได้ทั่วไปตามท้องตลาด ที่บอกว่าไปซื้อมาเสียเงิน 3,000-10,000 บาท นี่เป็นการทำผิดกฎหมายทั้งผู้นำเข้าและผู้ซื้อ ถ้านำยาเหล่านี้ไปฝากเพื่อน ยิ่งผิดไปใหญ่ ผู้ผลิตไม่ขายให้เอกชน แต่รัฐก้ดำเนินการช่วยให้แอกชนจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรมได้
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า การเลือกยารักษา ใช้ยารับรองจากองค์การอนามัยโลกทุกตัว ช่วงต้นยังไม่มียารักษาโควิด 19 เพราะเป็นโรคใหม่ จะให้ไปหายาแก้โควิด19เฉพาะตอนนั้นหาที่ไหน ไม่มี เพราะยาโมลนูพิราเวียร์ แพกซ์โลวิดเพิ่งขึ้นทะเบียนปลายปีที่แล้ว จะให้คนป่วยรอได้หรือไม่ ก็ซื้อยาฟาวิพิราเวียร์มาใช้ตามคำแนะนำทางวิชาการ มารักษาคนป่วยหายเป็นล้านคนแล้ว ก็ต้องทำแบบนี้
“ส่วนการสั่งยา หรือยาไม่พอ เพราะคนไข้จะเอายานี้ได้ยาโน้น ขอแจงว่า คนไข้หรือญาติเลือกยาเองไม่ได้ คนสั่งยาต้องเป็นแพทย์เท่านั้น ถ้าแพทย์เห็นว่าควรกินยาอะไรก็ต้องกิน ถ้าไม่มีอาการ จะกินฟาวิพิราเวียร์หรือโมลนูพิราเวียร์ทำไม บางคนได้ยาลดไข้ ลดน้ำมูก ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละคน แต่กรณีโควิด 19 รัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชเข้าถึงยา เมื่อไปถึงรพ.แล้วแพทย์พิจารณาให้ยาตัวไหนก็ขึ้นกับแพทย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราว่าตามใจชอบ ควรเคารพการวินิจฉัยของแพทย์”นายอนุทินกล่าว
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องรักษาสมดุล ระหว่างแก้ปัญหาสุขภาพและเศรษฐกิจให้เหมาะสม ภายใต้หลักการใช้ชีวิตอยู่กับโควิด 19 ได้อย่าางปลอดภัย ที่บอกว่าสธ.ล้มเหลว รมว.ไม่มีความสามารถ ตนไม่มีความสามารถในการักษา แต่บริหารสถานการณ์ บริหารจัดการรูปแบบของสธ.ได้ อย่างดีหรือไม่ ดูตรงนี้ คือ ได้รับฉันทามติจากประเทศสมาชิกอาเซียนให้จัดตั้งสำนักงานเลขาธิการศูนย์อาเซียน ด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ ทั้งที่ผ่านมามา 5 ปีไม่จบ จนเห็นการรับมือโควิด 19 ของประเทศไทย ก็มีการเห็นชอบให้จัดตั้งในไทย เดือนส.ค.จะเริ่มดำเนินการ