กำชับผอ.วิทยาลัยอาชีวะรัฐ-เอกชน สอนเด็กทำอาชีพได้จริง ยิงให้ถูกเป้า
“ตรีนุช”กำชับวิทยาลัยอาชีวะรัฐ-เอกชน สอนเด็กทำอาชีพได้จริง โฟกัสเรื่องระบบทวิภาคีให้มากขึ้น พร้อมย้ำผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านปักหมุดเรื่องสถานศึกษาปลอดภัย
จากการประชุมสัมมนาผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ทั้งรัฐและเอกชน จำนวน 1,300 คนเพื่อติดตามผลการดำเนินงานและยกระดับคุณภาพการจัดการอาชีวศึกษาทุกมิติโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
วันนี้ ( 1 สิงหาคม 2565 )ที่วิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการอาชีวศึกษา เพราะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงขอให้สอศ. เน้นการพัฒนาให้เด็กสามารถประกอบอาชีพได้จริง และตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโลกในศตวรรษที่ 21 ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อผู้เรียน หลักสูตร และแนวทางการเรียนการสอน ซึ่งทุกท่านในฐานะผู้บริหารจะต้องมีการปรับตัว และปรับรูปแบบการวิธีการบริหารจัดการ ให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
- ย้ำวิทยาลัยอาชีวะรัฐ-เอกชน เน้นหลักสูตรอาชีพ
วันนี้เรื่องหลักสูตร อาชีพ ระบบการเรียนรู้ ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับผู้เรียนและเศรษฐกิจ ซึ่งวิธีการที่จะขับเคลื่อนให้เร็วที่สุดคือการจัดการศึกษระบบทวิภาคี ที่สถานศึกษาร่วมกับสถานประกอบการ ในการให้เด็กและครูได้ฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการซึ่งมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าสถานศึกษา
“ขอให้ผู้บริหารโฟกัสเรื่องระบบทวิภาคีให้มากขึ้น จากที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว โดยให้แต่ละสถานศึกษากำหนดตัวชี้วัดหรือ KPI ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และมีเครือข่ายการทำงานร่วมกับภาคเอกชน และสถานประกอบ รวมถึงต้องพัฒนาครูให้สามารถเข้าไปเรียนรู้ในสถานประกอบการ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นตัวสนับสนุนเรื่องการเรียนแบบทวิภาคีเพิ่มมากขึ้นได้” รมว.ศธ. กล่าว
สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณการปรับอัตราเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวสำหรับผู้เรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในลักษณะงบฯผูกพันต่อเนื่อง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2569 ให้แก่นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)ทั้งรัฐและเอกชน ซึ่งตนขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาพิจารณาการใช้จ่ายเงินในหมวดค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และค่าจัดการเรียนการสอนให้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลโดยตรงกับผู้เรียนให้มากที่สุด
- ฝากผู้บริหารสถานศึกษาปักหมุดสถานศึกษาปลอดภัย
น.ส.ตรีนุช กล่าวด้วยว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เด็กจำนวนหนึ่งหลุดออกจากระบบการศึกษา ศธ.จึงได้มีโครงการตามน้องกลับมาเรียน โดยในส่วนของ สอศ. ก็มีโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ ซึ่งในปีการศึกษา 2565 ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีเด็กเข้าโครงการ 5,000 คน ทราบว่าขณะนี้มีเด็กกลับมาเรียน 4,000 กว่าคนแล้ว ต้องขอขอบคุณผู้บริหารที่ช่วยเหลือกัน และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ตนเป็นห่วงจำนวนผู้เรียนในหลายวิทยาลัยลดลง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ที่เด็กของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีในหลายพื้นที่น้อยลง ซึ่งตนได้หารือกับผู้บริหารส่วนกลางว่าในภาคการเกษตรขอให้เน้นเรื่อง Smart Farming มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้เด็กเห็นว่าการเกษตรสมัยใหม่ไม่ได้ไปตรากตรำเหมือนในอดีต ให้ผลผลิตมากใช้เงินน้อย ต้นทุนต่ำ และยังได้สร้างเครือข่ายวิทยาลัยเกษตรฯอื่น ที่มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ด้วย
นอกจากนี้ขอให้ผู้บริหารสถานศึกษาทุกท่านปักหมุดเรื่องสถานศึกษาปลอดภัย ซึ่งถึงเป็นไฮไลท์สำคัญที่ตนตั้งใจตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง เพราะต้องการดูแลนักเรียน นักศึกษาที่เสมือนลูกหลานของเรา ในการดูแลด้านความปลอดภัย และร่วมมือกันลดความเสี่ยงของการเกิดเหตุทะเลาะวิวาทของนักเรียน ต้องมีมาตรการให้ผู้ปกครองมั่นใจว่าสามารถดูแลลูกหลานของเค้าได้ เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของนักเรียนอาชีวะ.