'ปราณี สืบวงศ์ลี' พุทธวจน สู้อธรรม

'ปราณี สืบวงศ์ลี' พุทธวจน สู้อธรรม

ปรากฎการณ์ "ตกหลุมพรางคำลวง" สอนให้ ปราณี สืบวงศ์ลี อดีตผู้บริหารบอดี้เชฟที่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นเจ้าโปรเจค "ชวนน้องท่องพุทธวจน"

ปรากฎการณ์ "ตกหลุมพรางคำลวง" สอนให้ ปราณี สืบวงศ์ลี อดีตผู้บริหารบอดี้เชฟที่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นเจ้าโปรเจค "ชวนน้องท่องพุทธวจน" ค้นพบว่าแสงสว่างดวงเล็กๆบนปลายปากบ่อ แท้จริงแล้วส่องทะลุถึงก้นบึ้งของดวงจิต ตอบคำถามของชีวิตได้ทุกกรณี

ทุกครั้งที่ชีวิตตกอยู่ในห้วงทุกข์ พุทธศาสนิกชนทั้งหลายมักยกให้ "วัด" เป็นสถานที่ชำระล้างจิตใจให้ใสสะอาด เปรียบเสมือนเครื่องมือเก็บกวาดขยะในใจ บ้างว่าไสยศาสตร์ พิธีกรรม หรือการอ้อนวอน ช่วยบรรเทาความขุ่นข้องหมองใจได้ บางคนว่าหลักธรรมคำสอนจากองค์พระศาสดาที่ถ่ายทอดผ่านภิกษุสงฆ์ต่างหากคือ กุญแจไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างแท้จริง

จะเชื่อหรือศรัทธาอย่างไรนั้น หากไม่ทำให้เดือดร้อนตนเองและผู้อื่นเสียแล้ว คงไม่ใช่เรื่องที่จะมาต่อว่าต่อขาน หรือหักล้างว่าใครถูกใครผิดให้ผิดใจกัน

แต่ถ้าวันหนึ่งความจริงและความลวงผสมปนเปกันจนยุ่งเหยิง พิธีกรรมอลังการ วิธีการทำบุญที่ยุ่งยาก ซับซ้อนและซ่อนเงื่อน กับการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ไปโดยสิ้นเชิง กำลังกัดกินพุทธศาสนาไปทีละน้อยๆ เพียงเพราะความลุ่มหลงของชนหมู่มาก... ปราณี สืบวงศ์ลี บอกว่า พุทธศาสนิกชนตัวเล็กๆอย่างเธอ ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อดำรงไว้ซึ่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ไว้ หรือ พุทธวจน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

กายใจ : เคยผ่านประสบการณ์หลงผิดมาแล้วใช่หรือไม่

ปราณี : ก่อนหน้าที่จะมาพบกับพุทธวจน ก็เคยตั้งคำถามกับตัวเอง อยากแสวงหาหนทางใหม่ให้กับชีวิต ก็ไม่รู้จะไปวัดไหน เราก็เลือกวัดใกล้บ้าน ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่โตและคนไปเยอะ และเพราะเป็นคนไม่เคยเข้าวัดมาก่อน เลยไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ ก็ตัดสินใจเลือกวัดนี้ด้วยความสะดวก

ครั้งแรกขับรถไปเองเลย เป็นวันอาทิตย์ที่มีคนเยอะมาก ใส่ชุดสีขาวเต็มวัด แล้วก็ไปเจอสิ่งก่อสร้างเป็นมหาวิหารใหญ่ เราก็ตาโต ร้องโอ้โหเลย เพราะเราเคยสงสัยว่าทำไมศาสนาคริสต์ยังมีวาติกัน อิสลามมีเมกกะ แล้วพุทธทำไมจึงไม่มีบ้าง เราก็มองแบบทางโลกนะ ก็ร้องว่าใช่เลย ตรงกับความคิดตัวเองว่าต้องมีใหญ่ๆแบบเขาบ้างสิ ถูกแล้ว

เรามีคำถามเยอะมากว่านั่นอะไร นี่คืออะไร สร้างองค์พระอะไรหรือ ก็ไปถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เขาก็ให้เด็กนักเรียนอาสาพาไปหรืออธิบายสิ่งต่างๆให้ฟัง ก็ทำบุญเลยนะ แล้วบังเอิญเจอเพื่อน ซึ่งเขาเป็นผู้อุปัฏฐากของวัดนี้ เหมือนเป็นวีไอพี ก็คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญให้ได้เจอ ต้องถูกกำหนดมาแล้วแน่ๆ แล้วเขาก็ชักชวนให้เราไปทุกอาทิตย์ จากที่ต้องไปคนเดียวก็มีเพื่อน ก็เลยไปทุกสัปดาห์

ตอนแรกก็ไปแบบไม่คิดอะไร ยิ่งได้แต่งชุดขาว มาทำบุญ นั่งสมาธิ เอ๊ะ มันก็ดีนะ ดีกว่าไปเที่ยวห้าง และภาพที่เราเห็นก็มากันทั้งครอบครัว มีเด็กเล็ก ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ช่วงเที่ยงก็เหมือนมากินข้าวปิกนิกกัน ก็มองว่าเป็นอีกโลกหนึ่งที่มีสีขาว มาปฏิบัติธรรม ก็ทำให้เราเห็นว่าภาพนั้นเป็นมิติที่ดี ก็เลยทำให้เราไม่ลังเลที่จะมาที่นี่ทุกอาทิตย์ ช่วงนั้นก็เห็นเขาทำอะไร ก็ทำตาม ด้วยความไม่รู้

วัตรปฏิบัติของที่นั่น จะมีสวดมนต์เช้า แล้วพอ 9 โมงก็นั่งสมาธิประมาณ 45 นาที จนกระทั่งถึง 11 โมง ก็จะมีกิจกรรมพีอาร์เล่าประสบการณ์ของศิษย์ ลากยาวจนถึงบ่าย 2 ค่อยมานั่งสมาธิต่อ มีพระมาเทศน์นิดหน่อย เวลาที่เหลือจากนั้นก็คือการบริจาคเงิน ผู้คนถือซองเงินเป็นฝูงเลย มันเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจมากเลยนะ คนมีจิตศรัทธาเยอะมาก

ครั้งแรกๆที่ไปเราจะได้ยินเพียงคำว่า "รวยๆๆๆ" เราก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมต้องพูดแบบนั้น เขาก็ตอบว่ามาทำบุญเพื่อให้รวย เราก็ถามกลับไปอีกว่า ไม่พูดไม่ได้หรือ เขาย้อนคำถามกลับมาว่า คนที่มาทำบุญที่นี่ก็เพื่อให้รวยไม่ใช่หรือ ทุกคนมีความหวังว่าทำบุญแล้วรวย แล้วพอมีหลักสูตรเรียนปริญญาศาสนา เราก็ลองเปิดอ่านดูแล้วเห็นว่าทั้งเล่มมีแต่เรื่องทำบุญ ก็เลยไม่สมัคร

กายใจ : แล้วสิ่งใดจุดประกายให้ฉุกคิด

ปราณี : เพราะช่วงไพร์มทาม (ช่วงเวลาที่ดีที่สุด) ประมาณ 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 2 นี่แหละที่ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนตัวเอง

ปีแรกที่ไปก็ยังไม่ฉุกคิดอะไร เพราะเขาก็จะเน้นประชาสัมพันธ์วัด เอาพรีเซนเตอร์ที่เป็นศิษย์วัด มาพูดว่าฉันทำบุญอย่างนี้นะแล้วชีวิตฉันดีขึ้นอย่างนั้น ฉันบริจาคแล้วดีขึ้นอย่างนี้ เมื่อก่อนฉันลำบากอย่างไร แรกๆเราฟังก็โอเค เริ่มคล้อยตาม เราทำแล้วเผื่อจะดีขึ้นเหมือนเขา หรือจะดีมากกกว่านี้ (หัวเราะ) พอเริ่มปีที่ 2 เอ๊ะ พูดไม่หยุดสักที เพราะตอนนั้นคิดว่าคงเป็นเพียงซีซั่นนิ่งพีอาร์ (ช่วงโปรโมท) แนะนำคนทำบุญ แต่มันมากเกินไปแล้ว ก็เกิดความสงสัย นั่งถามตัวเองว่า ช่วงเวลาดีขนาดนี้ คนก็เยอะมาก ทำไมไม่สอนธรรมะเลยนะ นี่ก็อยู่มาปีที่ 2 แล้วทำไมยังไม่ได้ธรรมะเลย

ถามว่าคนอื่นๆคิดเหมือนเราไหม คนรอบๆตัวเราก็สงสัยกัน แต่ตอนนั้นพวกเรายังใหม่เมื่อเทียบกับศิษย์คนอื่นๆ ที่มาประจำ ต้องยอมรับว่าสิ่งแวดล้อมมันพาไป เพราะคนที่มาส่วนใหญ่ก็จะคิดเหมือนกัน เข้าใจเหมือนกัน แล้วก็ต้องการเหมือนกัน แต่เราเหมือนก้าวขาไปข้างหนึ่ง เป็นคนที่มาลองดู แล้วก็ร่วมด้วยทำตามเขาไปด้วย ไม่ใช่ตัวตั้งตีหรือจะไปคัดค้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้วของเขาได้ เราทำได้เพียงว่า พูดในสิ่งที่เราทำได้ อะไรที่เราทำไม่ได้เราก็ไม่พูด แต่เราก็ยังมีความสงสัยอยู่เรื่อยมา

ความสงสัยที่ว่าก็คือ ที่นั่นปลูกฝังแต่เรื่องให้ทำบุญเท่านั้น บุญเท่านั้นจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ทำบุญแล้วให้ขอนั่นขอนี่ ขอสมบัติจักรพรรดิ์ ขอให้รวย ชาตินี้ ชาติหน้า จนเข้านิพพาน ซึ่งบทอธิษฐานนี้ ก็เคยตั้งคำถามกลับมาที่ตัวเองว่า ทำบุญไปเรื่อยๆจนรวยชาตินี้ชาติหน้า แล้วมันจะเข้านิพพานได้อย่างไร

ถ้าคิดให้มันเป็นลอจิก (ตรรกะ) นะ ลองคิดดูว่าถ้าเรารวยในชาตินี้ เพราะว่าบุญส่งผล อาจมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ได้ทุกอย่างปรารถนาในชาตินี้ แต่เมื่อเราตาย ผลบุญก็จะส่งให้เราไปเกิด ซึ่งก็มารู้ทีหลังว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า การเกิดครั้งหนึ่งเหมือนเต่าตาบอดที่กำลังจะเข้าไปในรูไม้ไผ่ ยากฉันใด การเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากฉันนั้น แต่ที่นี่กลับบอกว่าถ้าเราทำบุญแล้ว ชาติหน้าจะรวยกว่านี้อีก แล้วก็ได้ดีขึ้น แล้วก็ไปแบบนี้เป็นวัฏจักร แล้วหนทางไหนล่ะที่จะทำให้เราไปสู่นิพพาน เพราะธรรมะก็ไม่ได้ เขาเพียงแต่บอกให้เราวิ่งไปที่เส้นชัยคือ ดุสิต บอกให้ทำบุญเยอะๆ แล้วหลวงพ่อจะหอบหิ้วพาทุกคนทั้งหมดไปที่สวรรค์ชั้นดุสิต แล้วทุกคนก็จะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดุสิต แล้วก็สั่งสมบุญจนไปถึงนิพพาน

มันฟังดูง่าย เพียงแค่ทำบุญแล้วจะไปถึงนิพพาน แต่มันไม่มีคำตอบสำหรับเราว่าจะไปถึงนิพพานได้อย่างไร มันไม่มีเหตุมีผลเพียงพอที่จะอธิบาย หรือทำให้เราเข้าใจ และที่สำคัญคือเราไม่ได้ธรรมะอะไรเลย ไม่เหมือนอย่างที่คนอื่นบอกเลยว่า เขาไปปฏิบัติที่นั่นที่นี่แล้วได้จิตที่เป็นสมาธิ วางจิต วางอารมณ์ได้ แต่ทำไมฉันมาเป็นปีแล้ว ฉันไม่ได้อย่างนั้นบ้าง มันเป็นเควชชั่นมาร์ก (คำถาม) มาตลอด

ถึงจะสงสัย แต่เราก็ยังคงไปที่นั่นอยู่ แม้คนภายนอกจะเตือนอย่างนั้นอย่างนี้ มีกระทู้ในอินเทอร์เน็ตโจมตีอย่างไร ก็เพราะเราเชื่อในดุลยพินิจของเรา เชื่อในสายตาของเราว่าที่เห็น มันก็ดีนี่ เชื่อในผู้นำ ศรัทธาหัวปักหัวปำ เหมือนกับมีธุลีในดวงตามาก จนถึงวันที่เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วไม่อยากจมอยู่กับข้อสงสัยที่ไม่มีวันคลายได้ ก็เลยทำให้เราถอยออกมา แล้วแสวงหาใหม่ดีกว่า

กายใจ : หนทางใหม่คืออะไร แล้วช่วยคลายข้อสงสัยได้จริงหรือ

ปราณี : ลองเปลี่ยนไปวัดป่าเลย ไปเป็นปีๆ พระอาจารย์ท่านก็มีเมตตาสูง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นให้ปฏิบัติ ไม่ได้สอนอะไรเรา เลยรู้สึกเหมือนกับไปพักผ่อนมากกว่า เลยรู้สึกเหมือนไม่ได้อะไรอีกแล้ว ไปที่นั่นก็ไม่ได้ มาที่นี่ก็ไม่ได้อีก ตอนนั้นเหมือนหลงทางแล้ว เหมือนเรากำลังหาอะไรบางอย่าง แต่หาคำตอบพระพุทธเจ้าให้ตัวเองไม่ได้สักที

นั่นทำให้เราก็ยังไปทำบุญที่วัดเดิมอีก เลี้ยงพระเป็นแสนๆ เพราะยังเชื่อว่าพุทธศาสนาคือการทำบุญ แล้วก็ตระเวนทำบุญที่วัดนาป่าพง ทำทุกสายเลย เหมือนซื้อประกันชีวิต ซื้อหลายๆแบบ (หัวเราะ) จนมาปีที่ 3 พอดีน้องที่รู้จักกันมีวันเกิดใกล้กัน ชวนให้เรามาปฏิบัติธรรมที่วัดนาป่าพง ช่วง 3-4 วันนั้นเปลี่ยนชีวิตและความเชื่อไปเลย เมื่อได้อ่านหนังสือพุทธวจน เราได้ออกไปนั่งฟังธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งวัน มันทำให้เราได้รู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้หรือ มันไม่เหมือนที่เราเคยรู้มา ก็เลยทำให้เรายิ่งอ่านใหญ่เลย หาความรู้ไปเรื่อย และได้รู้ว่าที่ผ่านมาเรารู้มาผิดๆ ทั้งหมด ที่นั่นสอนผิด ไม่ใช่คำพระพุทธเจ้า

เพราะแท้จริงแล้ว พุทธวจนสามารถสืบค้นได้ ตรวจทานได้ อ้างอิงพระสูตรได้ว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อเราสืบค้นได้ก็ต้องพิสูจน์ได้ด้วย ในขณะที่คำสอนที่เราเคยรู้มานั้นสืบค้นไม่ได้ พอมาเปรียบเทียบแล้วมันต่างกัน เราก็ต้องเลือกเชื่อสิ่งที่เราสืบค้นได้ เหมือนเอาแว่นส่องเพชรมาส่อง เราก็เห็นแล้วว่าอันนี้เพชรแท้ อันไหนเพชรเทียม มันก็มีวิชาสอนเราอีกว่าเพชรแท้ เพชรน้ำดี สี ความใส จะดูอย่างไรนะ คำสอนก็เหมือนกัน เราสามารถจะเอากล้องส่องว่าจริงหรือเท็จได้ด้วยตัวเราเอง

ต้องยอมรับว่าครั้งแรกๆที่อ่านพุทธวจนนั้นไม่เข้าใจนัก เราก็ต้องไปถามพระอาจารย์ (คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล) แล้วเราก็เป็นคนช่างถาม ด้วยความที่เราสงสัยเยอะ และกำลังแสวงหาคำพุทธเจ้า เราก็เลยถามทุกอย่าง และไม่กลัวที่จะถาม พระอาจารย์ก็ตอบทุกคำถาม แล้วเราก็กลับมาอ่านหนังสือเองแล้วก็ค่อยๆทำความเข้าใจ และเข้าใจมากขึ้นๆ ยิ่งอ่านยิ่งศึกษา ก็ยิ่งรู้ว่าที่เคยรู้ๆผ่านมานั้นมันผิดทั้งหมด พามวลชนให้หลงผิด

อย่างเรื่องการทำบุญ พระพุทธเจ้าว่ายิ่งทำบุญแล้วขอ อ้อนวอน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นต่ำ เราต้องทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์ เพื่อต้องการขัดเกลาให้จิตผ่องใส ไม่ได้ทำเพื่อหวังนี่หวังนั่น กับอีกเรื่องคือ การถวายข้าวพระพุทธเจ้าทุกเดือน หรือถวายทั้งปี เป็นครอบครัว คนละเท่านั้นเท่านี้เป็นหลักพันบาท และเวลานั่งสมาธิจะบอกว่าพระพุทธเจ้าจะมาให้เห็น หน้าตักเท่านั้น สูงเท่าไร พระซ้อนพระ

จนกระทั่งเราได้มาศึกษาเข้าใจว่าปรินิพพานคืออะไร วิมุตคืออะไร นิพพานคือสถานที่ไม่มีกว้าง ยาว สูง ไม่มีหนาหรือบาง หรืออะไรที่เราจับต้องได้ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีรูปรสกลิ่นเสียง เพราะฉะนั้นเมื่อท่านปรินิพพานแล้ว ท่านจะไม่มีตัวตน ไม่มีองค์รูปให้เห็น แล้วท่านจะมารับข้าวที่เราถวายได้อย่างไร นี่คือจุดที่หักเหให้เปลี่ยนแปลงโดยไม่ลังเลอีกต่อไป

สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดเป็นสิ่งที่จริง แต่สาวกกลับพูดสิ่งที่ผิดเพี้ยนไป จะเชื่อใคร พุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ หากคำใดที่ขัดแย้งกับคำพระพุทธเจ้า เราต้องเชื่อพุทธวจน ไม่ใช่เชื่อในสาวก ตอนนี้เสียดายที่เจอคำสอนพระพุทธเจ้าช้าไป แต่ก็ยังดีที่ทำให้เข้าใจ เห็นโลกทั้งสองด้าน และได้เจอกับคำพุทธเจ้าแท้ๆ เสียที ไม่หลงทางอีกต่อไป

กายใจ : นี่คือเหตุผลให้ต้องมาประกาศในกลุ่มเยาวชนใช่ไหม

ปราณี : เราไม่อยากให้หมู่ชนหลงผิด พระพุทธเจ้าตรัสอย่าง ก็เอามาสอนอีกอย่าง เราก็เริ่มเห็นภัยของศาสนาว่าศาสนาพุทธนั้นเริ่มเสื่อม หากว่าเราไม่เชื่อฟังคำของพระองค์ ในอนาคตไกลออกไป ก็จะมีสาวกออกไปแต่งหรือสอนใหม่ ตั้งตนเป็นศาสดา หรือบิดแต่งอักษรให้วิจิตร แล้วคนก็จะหลงเชื่อ สุดท้ายคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะสูญหายไป พระพุทธองค์จึงตรัสเป็นหนึ่งในพระสูตรว่า พวกเราจงอย่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายในธรรมะของพระองค์เลย

เพราะฉะนั้นก็เลยเป็นหน้าที่ของชาวพุทธที่จะกลับมาหาคำสอนของศาสดาของตัวเอง มาศึกษา เพื่อทรงไว้ซึ่งคำสอนของพระองค์ไม่ให้เสื่อมสูญ อย่างทุกวันนี้เรามักจะถามว่าปฏิบัติสายไหน ก็นึกสงสัยว่าเรามีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ทำไมต้องมีสายหลายด้วย

เหตุก็เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเห็นผลด้วยตนเอง เมื่อมีผู้ปฏิบัติแล้วได้ฌาณก็จะคิดว่าตัวเองบรรลุ ก็เผยแพร่สิ่งที่ตนเองได้รับ มันคือความหลงผิด แล้วลูกศิษย์ก็คิดว่าเจ๋ง เลยตั้งตนเป็นศาสดา มีคนคนมายกย่อง แต่พระพุทธเจ้ามาให้สัมผัสไม่ได้ คนก็เลยเชื่อศาสดาใหม่ตัวเป็นๆนี้เป็นอริยเจ้า กลายเป็นลาภสักการะ แล้วตัวเองก็เคลิ้มไปด้วย มันเป็นเหมือนกับยาพิษที่ทำลายคนๆนั้นเอง

พระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งตนและพึ่งธรรม เราก็ต้องปฏิบัติตามนั้น พระองค์ไม่ได้สั่งให้สร้างตัวแทนของพระองค์ไว้กราบไหว้บูชา แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเราอยากหาตัวแทนไว้เองต่างหาก คนส่วนใหญ่ทำผิดวัตถุประสงค์ พระทำผิดพระอริยวินัยสงฆ์กันมาก ดังนั้นการจะรักษาพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว เราต้องหันกลับมาศึกษาคำสอนของพระองค์

วิธีการก็คือทำอย่างไรให้คนรู้จักพุทธวจนมากขึ้น เราก็เริ่มต้นที่เด็กๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกบุรุษได้ดีที่สุด เราก็เชื่อว่าการนำมาให้เด็กๆท่องจำจะช่วยเป็นเกราะและภูมิคุ้มกันให้กับเขาได้ มันเป็นอานิสงส์หลายๆด้าน ทั้งเผยแพร่ สืบทอด ทั้งเอาคำสอนของพระพุทธองค์มาฝึกมนุษย์ และปัจจุบันก็มีคนรู้จักคำว่าพุทธวจนมากขึ้น แต่เราก็ยังเชื่อในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ว่าความจริงจะค่อยๆกรุยทางให้เราเรื่อยๆ และตั้งใจจะทำโครงการ "ชวนน้องท่องพุทธวจน ปี 2" อีก เพื่อให้พุทธวจนที่เป็นทางเลือกของคนที่หลงทางอยู่ให้ได้