เสมา 3 ลุยสารสาสน์ฯราชพฤกษ์ สั่งฟ้องคนไม่มีตั๋วครู
"กนกวรรณ" เดินหน้าลุย "สารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์" เตรียมเรียก ผู้ถือใบอนุญาตจัดตั้ง ผู้บริหารหารือ 30 ก.ย.นี้ ลั่นถ้าไม่มาจะฟ้องร้องคดี ถือว่ามีความผิด ไม่มีความจริงใจ พร้อมมอบ "เลขาฯครุสภา" ฟ้องครูที่ไม่มีตั๋วครู ย้ำไม่มีมวยล้ม
เหมือนยิ่งแก้ปัญหา ยิ่งเยียวยา ยิ่งไม่ชัดเจน สำหรับกรณี "เด็กถูกพี่เลี้ยง ครูทำร้ายเด็ก" ใน "โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์" เมื่อผู้ปกครองสอบถามถึงการแนวทางเยียวยาที่ชัดเจน ขอดูใบประกอบวิชาชีพครูในชั้นเรียน และถามถึงผู้อำนวยการโรงเรียน กลับไม่มีคำตอบในสิ่งเหล่านี้
วันนี้ (29ก.ย.2563) เวลา 11.30 น. ที่โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ นายอรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่าตามที่ได้รับมอบหมายจากนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมช.ศธ.) ให้ตนและนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารมช.ศธ.มาช่วยแก้ไขปัญหาและชี้แจงการเยียวยาช่วยเหลือนักเรียนที่ได้ถูกทำร้ายแก่ผู้ปกครองว่า จากการหารือร่วมกับกรรมการของโรงเรียน ซึ่งได้มีการสอบถามถึงข้อเท็จจริงในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของการเก็บค่าธรรมเนียมที่ผู้ปกครองเรียกร้องว่ามีการเรียกเก็บเพิ่มเติมและราคาค่อนข้างแพง
"ทางโรงเรียนได้ยอมรับผิดว่ามีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม อื่นๆ นอกจากค่าธรรมเนียมปกติ โดยทางโรงเรียนให้เหตุผลว่า ทางโรงเรียนนั้นไม่ได้มีการเก็บค่าธรรมเนียมตามที่สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)คือ หลักสูตร EP สามารถเก็บค่าธรรมเนียมได้เทอมละ 40,000 บาท รวมเป็นไม่เกิน 80,000 บาท ต่อปี แต่ทางโรงเรียนเก็บค่าธรรมเนียมเพียงเทอมละ 17,000 บาท รวมต่อเทอม 34,000 บาท จึงต้องเก็บค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งหากผู้ปกครองท่านใด ถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกิน 80,000 บาท โรงเรียนยินดีจะคืนเงินหากทั้งหมด"นายอรรถพล กล่าว
นอกจากนั้น ในส่วนของการขอตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพครูแต่ละชั้นเรียนนั้น ขณะนี้ทางโรงเรียนได้รวบรวมใบประกอบวิชาชีพครูทุกท่านและจะชี้แจงผู้ปกครองทุกคน รวมถึงหลังจากนี้ ทางสช. ได้มีการออกมาตรการให้โรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ มีการติดใบอนุญาตประกอบอาชีพครู ทั้งหน้าห้องเรียน มีภาพถ่าย มีชื่อ นามสกุล เลขที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และวันหมดอายุ เพื่อเป็นการปิดช่องว่างไม่ให้มีการรับครูที่ไม่ได้มาตรการมาสอนในโรงเรียนเอกชนโดยโรงเรียนต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 5-7 วัน
"ผมได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 12 ท่าน เพื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบโรงเรียนแห่งนี้แห่งแรก ซึ่งเรื่องนี้ต้องคลีนและเคลียร์ หากมีความผิดตามอาญาจะดำเนินคดีถึงที่สุด และตอนนี้ได้มีการส่งกล้องวงจรปิดไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ข้อมูลชัดเจน สช.จะเร่งแจ้งความดำเนินคดีทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ครู โรงเรียน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายเด็ก" เลขาธิการ สช. กล่าว
ต่อมาเวลา 12.00 น. นางกนกวรรณ ได้เดินทางมายังโรงเรียน เพื่อรับฟังการหารือ และแนวทางการเยียวยาของผู้ปกครองกับโรงเรียน ว่า สิ่งที่ทางศธ.จะดำเนินการต่อไป นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เลขาธิการครุสภา จะดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บริหารโรงเรียน รวมทั้งครูที่เกี่ยวข้องในการนำคนที่ไม่ถูกต้อมาดูแลบุตรหลาน รวมถึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ไม่มีมวยล้ม และจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
"จะกำชับ ดูแลและติดตามให้ทุกเรื่อง ที่ผู้ปกครองได้ร้องทุกข์ ส่วนกรณีของผู้ถือใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนในเครือสารสาสน์ นายพิบูลย์ ยงค์กมล การที่โรงเรียนออกหนังสือแสดงให้เห็นว่าไม่มีความพร้อมที่จะมาแก้ปัญหาให้กับผู้ปกครอง ซึ่งถือว่ามีความผิด เพราะไม่ได้แสดงความจริงใจ ดิฉัน ได้ส่งหนังสือเพื่อขอหารือกับผู้บริหารดังกล่าว รวมถึงผู้ถือใบอนุญาตจัดตั้งภายในพรุ่งนี้ (30 ก.ย.2563) แต่ถ้าไม่มีจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดี อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ดิฉันจะร่วมอยู่กับผู้ปกครองในกระบวนการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ภายในโรงเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความสบายใจ" นางกนกวรรณ กล่าว
ขณะที่ ทางกรรมการผู้บริหารโรงเรียน กล่าวว่าทางโรงเรียนตระหนักว่าเรามีความผิดพลาดในเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการปรับโครงสร้างใหญ่ ปรับเปลี่ยนและแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เอาทีมใหม่เข้ามา เอาครูใหม่เข้ามาและจะมีการประชุมผู้ปกครอง จะไม่นิ่งเฉยในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ส่วนกรณีที่ทางผู้ปกครองขอดูใบประกอบวิชาชีพครูของครูทั้งโรงเรียนนั้น ขณะนี้ ทางสช.ได้มีการนำเอกสารไปตรวจสอบ ซึ่งจะรีบแจ้งไปยังโรงเรียน ส่วนเรื่องอื่นๆ จะเร่งเยียวแก้ไขทุกเรื่อง สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกย้ายออก ทางโรงเรียนยินดีจะเยียวยาคืนชำระค่าเล่าเรียนให้ แต่ถ้าผู้ปกครองท่านใดยังไว้ใจให้อยู่กับโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ต่อ ทางโรงเรียนจะปรับปรุงอนุบาลให้ดีขึ้น
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม กล่าวว่า การดำเนินการเปิดโรงเรียนเอกชนถือเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ควรจะมีการเปิดพื้นที่ให้กับสาธารณะชน เพื่อให้รับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้ และหน่วยงานที่กำกับดูแลก็ควรที่จะชี้แจงว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรไม่ใช่ขอทำแบบเงียบเงียบ เพราะเพราะในกรณีนี้ไม่ได้มีการเผยแพร่รูป หรือข้อมูลของเด็กออกไป แต่เป็นการหารือเพื่อการแก้ปัญหาของโรงเรียนดังกล่าว
การที่ได้เดินทางมาที่โรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากต้องการที่สอบถามถึงกระบวนการการรับบุคลากรของทางโรงเรียน ว่ามีการคัดเลือกมาแบบไหนอย่างไร เหตุใดจึงได้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ และวัฒนธรรมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนมีการอนุญาตให้ลงโทษเด็กได้หรือไม่ อีกทั้งจากนี้ยังจะมีกลุ่มผู้ปกครองจะเดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมด้วย ดังนั้น จึงต้องการขอตรวจสอบภาพวงจรปิด เพื่อที่จะให้ความกระจ่างของเรื่องนี้ และประเทศเราได้ดำเนินการคุ้มครองเด็กมากน้อยเพียงใด และทำตามปฏิบัติตามอนุสัญญาสิทธิเด็กระหว่างประเทศหรือไม่ เพราะเด็กกลุ่มนี้ถือว่ายังไม่สามารถสื่อสารด้วยตนเองได้
“วันนี้ผมรู้สึกผิดหวังมากที่ไม่ได้มีการชี้แจ้งแบบที่ควรจะเป็นในทุกๆ เรื่อง ซึ่งทางผู้บริหารควรจะชี้แจงให้ทราบว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งหากเรื่องนี้ ศธ.ทำไม่ชัดเจน ก็คงต้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาดูแลแทน”นายรณณรงค์ กล่าว