สรุปผล ‘น้ำสีม่วง’ ฉีดใส่ ‘ผู้ชุมนุม’ อันตรายแค่ไหน?
ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี เปิดผลวิเคราะห์น้ำสีม่วงที่ใช้ฉีดใส่ผู้ชุมนุม "ม็อบ17พฤศจิกา" พบสาร 5 ชนิด พร้อมระบุถึงความอันตรายหากสารสีม่วงดังกล่าวโดนร่างกาย
จากเหตุการณ์วันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ที่กลุ่มแนวร่วม "คณะราษฎร" และ เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH เดินหน้าเคลื่อนมวลชนมุ่งหน้าสู่ รัฐสภา สถานการณ์เริ่มตึงเครียดในช่วงเวลาตั้งแต่ 15.00 นาฬิกา ณ บริเวณแยกเกียกกาย พร้อมกับมีการฉีดน้ำสลายการชุมนุมที่มีทั้งน้ำผสมสีม่วง และผสมแก๊สน้ำตา จนทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
ประเด็นเรื่องน้ำสีที่ฉีดใส่ผู้ชุมนุม กลายเป็นคำถามที่ชาวโซเชียลต่างตั้งคำถามต่อส่วนผสม และฤทธิ์หลังจากที่สัมผัสร่างกาย เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดผลวิเคราะห์ส่วนผสมน้ำสีม่วงฉีดไล่ม็อบราษฎร บริเวณแยกเกียกกาย โดยโพสต์รายละเอียดลงในเฟซบุ๊กสรุปได้ว่า
ผลการวิเคราะห์น้ำที่เก็บได้จากแนวปะทะที่เกียกกาย โดยน้ำที่เก็บมามี สีฟ้าปนน้ำเงิน เนื่องจากว่าปนเปื้อนกับสีที่ผู้ชุมนุมใช้สีน้ำเงิน ปนกันกับน้ำสีม่วง แต่เมื่อนำมาสกัดด้วย DCM (สารชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นตัวทำละลาย) จนได้สารละลายสีม่วงพร้อมกับสารที่อยู่ในนั้นออกมาแยกชั้นตามภาพที่ 1-3
เมื่อเอาสารละลายสีม่วง ที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยเทคนิค gc-ms (Gas chromatographymass spectrometry (GC-MS)) พบว่าสีม่วงคือ Methylviolet 2b (เมทิลไวโอเลททูบี) ซึ่งเป็นสีม่วงธรรมดา ไม่มีพิษภัยอะไร และเจอสารสำคัญ 5 ชนิดในสารละลายสีม่วง นั่นคือ
- Dimethyl sulfoxide, DMSO (ไดเมททิล ซัลฟอกไซด์)
เป็นสารประกอบอินทรีย์ซัลไฟด์ มีลักษณะเป็นของเหลวไม่มีสี จุดเดือดสูง นิยมใช้เป็นตัวทำละลายและใช้เป็นสารทำความสะอาดส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองถ้าได้รับในปริมาณมาก
- 2-Chlorobenzaldehyde (2-คลอโรเบนซัลดีไฮด์)
ลักษณะไม่มีสีหรือของเหลวใสสีเหลืองเล็กน้อย ข้อควรระวังคือทำให้ผิวหนังไหม้อย่างรุนแรงและทำลายดวงตา โดยใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิต o-chlorobenzylidene malononitrile หรือ 2-chlorobenzalmalononitrile หรือ o -Chlorobenzylmalononitrile ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ในแก๊สซีเอส (CS gas)
เมื่อโดนแก๊สน้ำตาเข้าไปแล้ว จะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำ ทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำจะบวม ตามองไม่เห็น น้ำมูกน้ำลายไหล ไอ หายใจลำบากเมื่อร่างกายสัมผัสกับแก๊สน้ำตามักจะเกิดอาการภายในวินาทีหรือหลายนาที อาการจะเป็นอยู่นานประมาณ 15-30 นาทีส่วนใหญ่จะหายเองภายในหนึ่งชั่วโมง
- 2-Chlorobenzyl alcohol (2-คลอโรเบนซิลแอลกอฮอล์)
มีลักษณะเป็นผงสีขาว โดยสารตัวนี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ทั้งต่อดวงตา ผิวหนังแม้แต่การสูดดมเข้าไป
- 2-chlorobenzalmalononitrile (2-คลอโรเบนซัลมาโลโนไนไตร)
หรือ o-Chlorobenzylmalononitrile (CS gas)2-chlorobenzalmalononitrile หรือ o-Chlorobenzylmalononitrile ทางทหารเรียกสั้นๆว่า CS จัดเป็นอาวุธเคมี (chemical weapon) ที่ใช้คุมฝูงชน แต่ไม่ทำให้ถึงตาย (non-lethal chemical weapon) โดยปกติในอุณหภูมิห้อง ไม่ได้อยู่ในสถานะก๊าซ เป็นของแข็ง แต่ทำเป็นละอองได้ เหมือนสเปรย์พริกไทย
- o-Chlorobenzylmalononitrile
เป็นสารก่อการระเคืองเหมือนกันที่อยู่ใน CS gas เหมือนกัน เป็นอนุพันธ์ของสารหมายเลข (4)
สารหมายเลข 1 เป็นตัวทำละลาย เพื่อทำให้สารอีก 4 ตัวละลายรวมเป็นเนื้อเดียวกันเป็นหัวเชื้อ ส่วนสารหมายเลข 2 3 4 5 เป็นกลุ่มแก๊สน้ำตาซึ่งใส่ตัวเดียวก็เกินพอแล้วครับแต่ใส่ไปทั้งหมด 4 ตัว
ความเข้มข้นที่คำนวณได้จากเครื่อง
(1) = 10.39 % V/V
(2) = 10.87 % V/V
(3) = 8.56 % V/V
(4) = 63.93 % V/V
(5) = 6.25 % V/V
นอกจากนี้ อาจารย์วีรชัย ยังทิ้งท้ายไว้ถึงงานวิชาการที่เกี่ยวข้องไว้ว่า "ไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้แน่นอนว่า ความเข้มข้น 1% เทียบกับ 5% แก๊สน้ำตา(CS) อันไหนอันตรายกว่ากัน เนื่องจากความเสียหายส่วนใหญ่มาจากระยะในการยิง"
ผลกระทบในคนได้มีการศึกษาผลของ CS smoke or aerosol and exposure via inhalation พบว่า aerosol เมื่อทำการผลิตโดยวิธี thermal dispersionที่มีขนาด 0.5um ในตัวทำละลาย methylene chlorideทำการศึกษากับอาสาสมัครเป็นเวลา 90 นาที ในพื้นที่ขนาด 0.5-1 mg/m3 พบว่า อาสาสมัครมีอาการผิวไหม้บริเวณปาก หายใจแล้วแสบ รวมถึงมีอาการแน่นหน้าอก
อ้างอิง : https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1127513/
ที่มา : รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์