อย. แจง 'ผ้าอนามัย' ทุกชนิดจัดเป็น 'เครื่องสำอาง' เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
อย. แจง "ผ้าอนามัย" ทุกชนิด จัดเป็น "เครื่องสำอาง" ตาม พ.ร.บ. เครื่องสำอางมาโดยตลอด แต่เมื่อได้มีการปรับปรุง พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ทำให้ "ผ้าอนามัยแบบสอด" ไม่เข้าข่ายต้องมีการออกกฎกระทรวงกำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
เมื่อวันที่ 22 ก.ค.64 ภญ. สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาการรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่กฎกระทรวงกำหนดให้ "ผ้าอนามัยชนิดสอด" จัดเป็น "เครื่องสำอาง" โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า "ผ้าอนามัย" ทั้งแบบใช้ภายนอกและชนิดสอดถูกจัดเป็นเครื่องสำอางตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอางมาโดยตลอด ซึ่งเป็นไปตามคำนิยามของเครื่องสำอางที่เป็นวัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใดต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ฯลฯ
แต่เมื่อพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ ได้กำหนดนิยามของเครื่องสำอางให้ใช้เฉพาะภายนอกร่างกาย จึงทำให้ "ผ้าอนามัยแบบสอด" ไม่เข้าข่ายเป็น "เครื่องสำอาง" เนื่องจากมีการสอดเข้าไปในร่างกาย ไม่สอดคล้องกับคำนิยามดังกล่าว แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุข โดย อย. จึงเห็นสมควรออกกฎกระทรวงให้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอางดังเดิม เพราะจะได้มีการกำกับดูแลให้ผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานความปลอดภัย ควบคุมการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ รวมทั้งมีการแสดงคำเตือนที่ฉลาก เพื่อให้ผู้บริโภคได้ศึกษาทำความเข้าใจก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ด้วย
ทั้งนี้ ผ้าอนามัย จัดเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน เป็นรายการสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ จึงไม่มีการจัดเก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยตามที่เป็นข่าว มีเพียงการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนสินค้าชนิดอื่น ๆ เท่านั้น
สำหรับข้อควรระวังในการใช้ "ผ้าอนามัยแบบสอด" ที่ผู้บริโภคควรให้ความใส่ใจ คือ
- ไม่ควรใช้เมื่อภาชนะบรรจุฉีกขาด
- ไม่ควรใส่ไว้ในช่องคลอดนานเกิน 8 ชั่วโมง
- ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4-8 ชั่วโมง
- ขณะใช้ หากมีอาการเป็นไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นเหียน อาเจียน วิงเวียน หน้ามืด ท้องเดิน หรือมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง ให้นำผ้าอนามัยออก และรีบไปพบแพทย์ทันที
ที่สำคัญ การเลือกซื้อ "ผ้าอนามัยแบบสอด" ควรซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ ผลิตภัณฑ์มีฉลากภาษาไทยแสดงข้อความอันจำเป็นครบถ้วน เช่น ชื่อและที่ตั้งผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เลขที่ใบรับจดแจ้ง วันเดือนปีที่ผลิต วัสดุที่ใช้ วิธีใช้ คำเตือน เป็นต้น ผู้บริโภคควรอ่านฉลากให้ละเอียดโดยเฉพาะวิธีใช้ รวมทั้งปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด