ชีวิต ‘แรงงานประมง’ ช่วง ‘โควิด’ : ความโดดเดี่ยวที่ต้องไม่เดียวดาย
ยิ่งกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด “แรงงานอาหารทะเลไทย” ไร้ซึ่งความเท่าเทียม “ค่าแรงขั้นต่ำ” อยู่ในเกณฑ์วิกฤต แถมเจอ “โควิด” สะกิดแผล
เป็นที่รู้กันว่า แรงงานอาหารทะเลไทย เป็นกลุ่มอาชีพที่แสนจะเปราะบาง เมื่อผลวิจัยเรื่อง “ชีวิตไม่มั่นคงและโรคระบาด : บทสำรวจปัญหาค่าจ้างและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย” จากภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน ซึ่งเป็นการรวมตัวกันขององค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านสิทธิแรงงานและความยั่งยืนทางทะเล 14 องค์กร เปิดเผยออกมายิ่งตอกย้ำว่า แรงงานประมง ในไทยเจียนตายโดยเฉพาะช่วงวิกฤต โควิด-19
- ค่าแรง...ถึงขั้นต่ำ
จากการสำรวจแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย 4 กลุ่ม ได้แก่ ประมง, ประมงต่อเนื่อง, โรงงานแปรรูปอาหารทะเล และฟาร์มกุ้ง ในพื้นที่ 8 จังหวัดของประเทศไทย โดยใช้ ค่าแรงขั้นต่ำ คิดเป็นรายเดือน ซึ่งได้มาจากค่าแรงขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายไทยคูณด้วย 30 วัน เป็นเกณฑ์พื้นฐานของรายได้ขั้นต่ำที่สุดที่จะทำให้แรงงานดำรงชีวิตได้ตลอดทั้งเดือน
พบว่าค่าแรงขั้นต่ำคิดเป็นรายเดือนในพื้นที่ที่งานวิจัยนี้ทำการศึกษาต่ำสุดอยู่ที่ 9,390 บาทต่อเดือนที่จังหวัดปัตตานี และสูงสุด 10,050 บาทต่อเดือนที่จังหวัดระยอง แต่ผลการสำรวจพบว่าแรงงานมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 58 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มประมงต่อเนื่องและแปรรูปอาหารทะเล ซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 7,839 และ 8,423 บาทต่อเดือน ตามลำดับ ยิ่งไปกว่านั้น คือแรงงานราว 1 ใน 5 มีรายได้ไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของเกณฑ์ดังกล่าว หมายความว่าแรงงานกลุ่มนี้อาจไม่มีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประมาณ 9 วันจาก 30 วัน
ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดช่องว่าง และสร้างความไม่มั่นคงให้แรงงานเอง จักรชัย โฉมทองดี ผู้จัดการด้านนโยบายและรณรงค์ องค์การอ็อกแฟม กล่าวว่า “เมื่อเดือนๆ หนึ่งค่าจ้างที่ได้กลับเพียงพอที่จะมีชีวิตแค่ยี่สิบกว่าวัน ความเสี่ยงต่างๆ ทั้งต่อตัวแรงงานและสังคมรอบข้างจึงตามมา ทั้งการลดทอนทางสุขภาพ การอยู่อย่างแอออัด ฯลฯ เมื่อเกิดโควิด-19 สถานการณ์จึงวิกฤตและยากที่จะควบคุม
ทั้งนี้แรงงานไม่ว่าสัญชาติใดก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่ในทางปฏิบัติ โดยทั่วไปแล้วแรงงานข้ามชาติจะมีในจ้างได้คนเดียว เมื่อรายได้ไม่พอจึงไปหางานเสริมจากนายจ้างอื่นเช่นแรงงานไทยไม่ได้ จึงถือเป็นความรับผิดชอบสำคัญของทั้งนายจ้างและภาครัฐที่จะประกันรายได้ขั้นต่ำเป็นรายเดือนให้กับแรงงาน”
- ชาย-หญิง ทำเท่ากัน แต่ได้ไม่เท่ากัน
ปัญหา “ค่าแรงขั้นต่ำ” ไม่ได้มีแค่มากหรือน้อย แต่ในความน้อยกลับมีน้อยยิ่งกว่าทับซ้อนอยู่ สิ่งที่งานวิจัยชิ้นนี้ชำแหละออกมาคือช่องว่างทางรายได้ระหว่างแรงงานผู้ชายกับแรงงานผู้หญิง
งานวิจัยระบุว่าแรงงานผู้หญิงในอุตสาหกรรม “อาหารทะเลไทย” มีรายได้น้อยกว่าผู้ชายประมาณ 3,000 บาทต่อเดือน หรือราว 30 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อแยกตามกลุ่มแรงงาน (ยกเว้นกลุ่มประมงที่เป็นผู้ชายทั้งหมด) พบว่ากลุ่มประมงต่อเนื่อง ซึ่งมีการจ้างงานแบบไม่เป็นทางการมากที่สุด แรงงานผู้หญิงมีรายได้น้อยกว่าผู้ชายถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ส่วนช่องว่างรายได้ของแรงงานโรงงานแปรรูปอาหารทะเลอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์
แล้วพบว่าแรงงานผู้หญิงจำนวนมากเข้าไม่ถึงสิทธิลาคลอด และสวัสดิการการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลลูกด้วย
- โควิด คือวิกฤตซ้อน
สถานการณ์ “โควิด-19” ในกลุ่ม “แรงงานอาหารทะเล” โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร มีแรงงานจำนวนมากติดเชื้อ หลายรายติดซ้ำหลายครั้ง เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เอื้ออำนวยให้เว้นระยะห่างระหว่างกันได้
ผลกระทบจาก “โควิด” ไม่ได้กระทบแค่ตัวแรงงานเอง แต่ยังลามไปถึงครอบครัวด้วย เช่น แรงงานที่เป็นลูกเรือบนเรือประมง นายจ้างจำนวนมากจะไม่นำเรือเข้าฝั่ง หรือถ้าเข้าฝั่งก็จะห้ามไม่ให้แรงงานเข้าออกพื้นที่ที่กำหนดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ พูดถึงเรื่องนี้ว่า แรงงานเหล่านี้ไม่ได้รับทั้งการเยียวยาและสวัสดิการรัฐ แม้จะเป็นเพียงเพื่อให้พวกเขามีชีวิตรอด
“เมื่อติดเชื้อโควิด-19 จะถือว่าเป็นคนป่วย แรงงานก็ต้องลาป่วย แต่กฎหมายกำหนดให้วันลาป่วยแบบได้ค่าจ้าง 30 วัน การกักตัวหรือรักษารอบหนึ่งก็จะใช้เวลาประมาณ 14 วัน หมายความว่าใครที่ติดเชื้อมากกว่า 2 รอบก็อาจจะไม่มีวันลาป่วยแบบได้ค่าจ้างเหลือพอแล้ว ต้องลาแบบไม่ได้ค่าจ้างแล้วไปขอชดเชย 50 เปอร์เซ็นต์ จากประกันสังคมแทน ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัวอีก”
การเลือกปฏิบัติดังกล่าว อันที่จริงถือว่าขัดกับกฎหมายไทยว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิแรงงานทุกคน โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ แต่มาตรการเยียวยาต่างๆ กลับกำหนดเงื่อนไขให้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้นที่จะได้รับการเยียวยา ความย้อยแย้งนี้ทำให้แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทยเข้าไม่ถึงการเยียวยา
“การเลือกปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวบทกฎหมาย แต่เกิดจากคนกำหนดนโยบายและบังคับใช้กฎหมายที่สร้างเงื่อนไขขึ้นมาเองจนทำให้แรงงานข้ามชาติเข้าไม่ถึงสิทธิที่พวกเขาควรจะได้รับ ที่เห็นได้ชัดคือระบบประกันสังคม แรงงานและนายจ้างสมทบเงินเข้าระบบทุกเดือน แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยาตามที่ควรจะเป็น หลายคนจึงหันหลังให้ระบบ มีแรงงานเพียง 1.1 ล้านคนที่อยู่ในระบบประกันสังคม จากแรงงานข้ามชาติ 2.6 ล้านคนในประเทศ ทำให้เกิดช่องว่างในการคุ้มครองแรงงานมากขึ้นไปอีก” ปภพ เสียมหาญ ผู้อำนวยการโครงการจากมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา กล่าว
- เพิ่มค่าแรง เพื่อเขารอด
หลังจากเห็นปัญหาแล้ว มีข้อเรียกร้องมากมายจากภาคีเครือข่าย หนึ่งในนั้นคือการปรับ “ค่าแรงขั้นต่ำ” จากรายวันเป็นรายเดือน เพื่อเป็นขั้นแรกของการสร้างหลักประกันเบื้องต้นให้แรงงานทุกคน ไม่ใช่แค่แรงงานอาหารทะเล ช่วยรองรับความเสี่ยงในภาวะวิกฤตได้มากขึ้น ก่อนจะพัฒนาไปสู่การพิจารณา “ค่าจ้างเพื่อชีวิต” (living wage) ให้แรงงานมีรายได้ในการใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงในอนาคต
สำหรับภาคเอกชน ต้องทำให้แรงงานทุกคนได้รับค่าจ้างอย่างน้อยที่สุดไม่น้อยไปกว่าค่าแรงขั้นต่ำคิดเป็นรายเดือน, มีสัญญาจ้างงานที่แจ้งเงื่อนไขของการทำงานเป็นลายลักษณ์อักษร, ให้สิทธิคลอดบุตรและการช่วยเหลือต่างๆ ที่เหมาะสมแก่แรงงานผู้หญิง
เรื่อง “โควิด-19” ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนควรเร่งอำนวยความสะดวกให้แรงงานเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเหมาะสม เช่น การตรวจ, การกักตัว, การรักษา, การได้รับวัคซีน ไปจนถึงการชดเชยรายได้เหมือนที่คนไทยได้รับ
- หากทำได้จะเป็นบรรทัดฐานของ “ผู้ใช้แรงงาน”
การที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ที่สุดของโลก สร้างรายได้เข้าประเทศกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท ซึ่งมีแรงงานข้ามชาติเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนที่สำคัญ หากแรงงานเหล่านี้ไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม ถูกเอารัดเอาเปรียบ จนต้องหันหลังให้กับประเทศไทย ผลเสียก็จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
ปัจจุบันผู้บริโภคและผู้นำเข้าอาหารทะเลในต่างประเทศก็ให้ความสำคัญกับสิทธิแรงงานในประเทศต้นทางมากขึ้นเรื่อยๆ หลายเจ้ามีการประกาศนโยบายสนับสนุนค่าแรงเพื่อชีวิต ซึ่งหากอุตสาหกรรมไทยไม่ทำตามมาตรฐานเหล่านี้ ข้อจำกัดทางการค้าก็จะมีมากขึ้นในอนาคต
การพยายามเสนอให้เห็นปัญหาของแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทยตลอดจนข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง “ค่าแรงขั้นต่ำ” และเงื่อนไขการจ้างงานให้เป็นธรรมมากขึ้นนั้น หากภาครัฐและเอกชนทำได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อ “ผู้ใช้แรงงาน” ทุกสัญชาติ
“การคุ้มครองแรงงานไม่ควรมองแค่ตัวกฎหมาย เราอยากให้มองถึงคุณธรรม จริยธรรม และมนุษยธรรมต่อพวกเขาด้วย” สุธาสินี ทิ้งท้าย