"ธุรกิจทันตกรรม-ทันตแพทย์" รอดอย่างไร? ในยุคโควิด-19
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เดือนส.ค. 2564 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 214 ราย เพิ่มขึ้น 94 ราย คิดเป็น 78.33% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ธุรกิจยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เดือนส.ค. 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 336.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.68 ล้านบาท คิดเป็น 2.65% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เดือนส.ค. 2564 มีจำนวน 19 ราย เพิ่มขึ้น 2 ราย คิดเป็น 11.76%
ขณะที่ การจัดตั้งธุรกิจใหม่ 8 เดือนแรกปี 64 หรือตั้งแต่เดือนม.ค. – ส.ค. 2564 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสมจำนวน 1,333 ราย เพิ่มขึ้น 407 ราย คิดเป็น 43.95% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 926 ราย ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนเลิก 8 เดือนแรกปี 64 มีการจดทะเบียนเลิกสะสม 122 ราย ลดลง 9 ราย คิดเป็น 6.87% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
- จัดตั้งธุรกิจยาเพิ่มขึ้นคิดเป็น 43.95%
“ทศพล ทังสุบุตร” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่าสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ปริมาณการจัดตั้งในช่วง 8 เดือนแรกเพิ่มขึ้น ถึง 43.95% ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับปริมาณความต้องการสินค้าทางเวชภัณฑ์และเภสัชภัณฑ์ที่มีเพิ่มขึ้นจากความจำเป็นที่ต้องใช้ในการป้องกันและรักษาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลให้การจดเลิกในช่วง 8 เดือนแรกลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นกัน และเมื่อดูภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้งย้อนหลังไป 2 ปี พบว่า ในปี 63 ยอดจัดตั้งเพิ่มจากปี 62 จำนวน 394 ราย คิดเป็น 43.39%
ปัจจุบันมีจำนวนนิติบุคคลที่ยังดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 31 ส.ค. 2564 มีทั้งสิ้น 11,964 ราย เพิ่มขึ้น 1,352 ราย คิดเป็น 12.74% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนส.ค.63 ที่มีอยู่จำนวย10,612 ราย ในส่วนของทุนจดทะเบียนมีมูลค่า 108,392.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,714.75 ล้านบาท คิดเป็น 3.55% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนส.ค.63 ที่มีทุนจดทะเบียน 104,677 ล้านบาท
ขณะที่ “ตลาดทันตกรรม" มีการประเมินเม็ดเงินของตลาดทันตกรรมในเมืองไทยมีสูงถึง 6 พันล้านบาท ซึ่ง 94% จะเป็นมูลค่าตลาดในส่วนของคลินิกทันตกรรมเอกชน ส่วนอีก 6% เป็นในส่วนโรงพยาบาล โดยตลาดของธุรกิจคลินิกทันตกรรมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ตามจำนวนสถานทำฟัน (Segmentation) ประกอบด้วย 1.ทันตกรรมบูรณะมีส่วนแบ่งทางตลาด 15% 2.ทันตกรรมเพื่อความสวยงามสัดส่วน 19% และ3.ทันตกรรมป้องกันรักษาทั่วไปอีก 66%
- "ทันตแพทย์" สจล.เน้นนวัตกรรม-เครื่องมือ
ขณะนี้แม้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้บริการทันตกรรม ใน “คลินิกทันตกรรม” หรือ “ร้านหมอฟัน” ทุกแห่ง เพราะต้องงดให้บริการหัตถการบางรายการ อาทิ การ อุดฟัน ขูดหินปูน ผ่าฟันคุด รักษารากฟัน แต่ในกลุ่มของคลินิกทันตกรรมต่างๆ ก็ได้ปรับตัว มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการรักษาฟัน ดูแลฟันให้แก่ผู้มาใช้บริการ จนทำให้ตอนนี้กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ยังสามารถดำเนินการอยู่ได้
รศ.ดร.ทพญ.อารยา พงษ์หาญยุทธ รักษาการคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เล่าว่าสิ่งที่จะช่วยทันตแพทย์ให้สามารถทำงานได้ตอนนี้ คือมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการให้บริการ โดยเฉพาะหุ่นยนต์ และมีการใช้เทเลเมดิซีน หรือนวัตกรรมที่ทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์สามารถอยู่ในช่องปากได้นานแต่ต้องมีความปลอดภัยต่อผู้มารับบริการ
ในประเทศไทยกลับพบว่ากว่า 90% ต้องนำนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องมือมาจากต่างประเทศ ยิ่งเกิดโควิด-19 ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้การบริการทันตกรรมต้องนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น จึงต้องสร้างทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านทักษะอาชีพ และมีความรู้ความสามารถด้านวิศวกร ด้านเทคโนโลยี เป็นทันตแพทย์นวัตกร และมีความเป็นผู้ประกอบการ สามารถสร้างอาชีพที่หลากหลาย
ทันตแพทย์ในยุคใหม่ ไม่ใช่ทำหน้าที่ถอนฟัน อุดฟัน รักษาฟันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสามารถผันตัวเองไปประกอบอาชีพได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นักวิจัย นวัตกรรม ผู้ประกอบการ ผู้บริหารโรงพยาบาล หรือเปิดคลินิกทันตกรรมของตัวเอง พวกเขาจึงจำเป็นที่ต้องมีความรู้ ทักษะหลากหลายรอบด้าน
ที่สำคัญต้องรู้จักคิดค้น และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อันนำไปสู่ยกระดับทันตแพทย์ของไทยร่วมด้วย เพื่อสอดคล้องกับนโยบายการยกระดับเข้าสู่ เมดิคัลฮับ (Medical Hub)” หรือ “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลปัจจุบัน “ทันตแพทย์ยุคใหม่” จึงต้องมีทักษะหลากหลายด้าน และไม่ใช่เพียงเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องสามารถใช้ ผลิตเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาชีพของตนเองร่วมด้วย