เปิดผลตรวจเจอ “ภูมิคุ้มกัน” คนไทยกลุ่มไม่ฉีดวัคซีน-ไร้ประวัติติดโควิด-19

เปิดผลตรวจเจอ “ภูมิคุ้มกัน” คนไทยกลุ่มไม่ฉีดวัคซีน-ไร้ประวัติติดโควิด-19

เปิดผลเบื้องต้น คนไทยเพียง 1% มีภูมิคุ้มกัน แม้ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ไม่เคยตรวจยืนยันติดเชื้อ สะท้อนไทยติดโควิด-19 แบบไม่รู้ตัว - หลุดจากระบบตรวจต่ำ จำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเวอร์จิ้น ขณะที่ไทยยังไม่เจอ “โอไมครอน” - กลายพันธุ์เกิดในประเทศที่น่าห่วง

   เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2564 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ในพิธีบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ เรื่อง การจัดตั้งศูนย์ตรวจวิเคราะห์สายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในภาคใต้ Center for Emerging SARS-CoV-2 Lineage Investigation in Southern Thailand (CESLIST)ระหว่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) โดยมี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ ผศ.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นผู้ลงนาม

นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า การร่วมมือในครั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จะมีการจัดตั้งศูนย์ตรวจวิเคราะห์สายพันธุ์ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ในบริเวณมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อตรวจวิเคราะห์ และรับตัวอย่างจากโรงพยาบาลในเขตภาคใต้ ด้วยชุดตรวจมาตรฐานเดียวกับศูนย์การแพทย์จีโนมิกส์ และสนับสนุนนวัตกรรม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ทั้งนี้เพื่อร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถในการวิเคราะห์วิจัยสายพันธุ์เชื้อโควิด-19 ในภาคใต้ สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ รวมถึงศึกษาวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีน และระบบภูมิคุ้มกัน การวิจัย  การตอบสนองของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สัมพันธ์กับสาเหตุทางพันธุกรรมร่วมกัน

   ผศ.ดร.นิวัติ กล่าวว่า  การจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการวิเคราะห์ วิจัยสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมา นักวิจัยของ ม.อ.ได้ดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสตลอดจีโนม ค้นหาสายพันธุ์ที่กำลังระบาดโดยการรับตัวอย่างบางส่วนจาก 4 จังหวัดชายแดนใต้ และเขตสุขภาพที่ 12 โดยได้ดำเนินการตรวจสายพันธุ์เบื้องต้น ด้วยเทคนิค whole genome study เพื่อรายงานผลให้แก่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอัพโหลดข้อมูลสู่ระบบกลางระดับสากล
        รวมทั้งการเก็บรวบรวมข้อมูลจีโนมเชื้อไวรัสเพื่อการศึกษาและวิจัยในอนาคต สำหรับความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์ในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้การวิเคราะห์ วิจัยสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในภาคใต้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในภาคใต้แล้ว ยังเป็นการพัฒนาบุคลากรและนักวิจัยของ ม.อ. ให้มีความรู้  ความเชี่ยวชาญ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานเชี่ยวชาญของประเทศทำให้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์การระบาดมากขึ้น

 ใต้ยังไม่เจอกลายพันธุ์ที่น่าห่วง
       ผู้สื่อข่าวถามถึงการเฝ้าระวังสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ในภาคใต้เนื่องจากเป็นพื้นที่ ที่พบโควิดสายพันธุ์น่าห่วงกังวล(VOCs)ถึง 3 จาก 5 สายพันธุ์  ศ.ดร.สุรศักดิ์ สังขทัต ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.อ. กล่าวว่า  จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์ในพื้นที่ภาคใต้ พบว่าส่วนใหญ่ยังเป็นสายพันธุ์เดลตา หรือเดลตาสายพันธุ์ย่อย ที่มีการกลายพันธุ์เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีส่งผลต่อการแพร่ได้เร็วขึ้นหรือรุนแรงขึ้น แต่ยังต้องเฝ้าระวังต่อไป 

     นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 – 26 พฤศจิกายน 2564 จากการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อทั้งหมด 43,918 ราย เป็นสายพันธุ์เดลตา 28,705 ราย สายพันธุ์อัลฟา 14,523 ราย  และสายพันธุ์เบตา 690 ราย โดยในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 26 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นช่วงการเปิดประเทศ ข้อมูลจากการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อ จำนวน 1,955 ราย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์เดลตา

      ในส่วนการเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม 2564 – 26 พฤศจิกายน 2564  จากการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อ จำนวน 479 ราย พบว่า เป็นสายพันธุ์เดลตา 478 ราย สายพันธุ์อัลฟา 1 ราย ซึ่งการจัดทำ ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยทำให้การวิเคราะห์วิจัยสายพันธุ์ในภาคใต้  มีความรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ในพื้นที่
    ไทยยังไม่เจอโอไมครอน
       นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า  สำหรับประเด็นที่มีการพบโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ใหม่ B.1.1.529 ที่องค์การอนามัยโลกให้ชื่อว่าโอไมครอน (Omicron) จากระบบการเฝ้าระวังสายพันธุ์ทางห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และเครือข่ายที่เราถอดรหัสพันธุกรรมทั้งตัวและรายงานในระบบ GISAID ขณะนี้ยังไม่พบสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศไทย แต่ยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

    คนไทย 1% ติดเชื้อไม่รู้ตัว
        ผู้สื่อข่าวถามถึงผลการสุ่มตรวจภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิด-19 ของคนไทยในภาพรวม นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า  จากการสุ่มตรวจตัวอย่าง 27,000 ตัวอย่าง กระจายใน 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ โดยเลือกคนที่จะมาฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มที่  1 เพราะเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน และคนที่ไม่เคยมีการรายงานตรวจพบว่าติดโควิด-19 มาก่อน แล้วนำมาเจาะเลือด ซึ่งจากที่ประเทศไทย มีรายงานยืนยันผู้ติดเชื้อประมาณ  2 ล้านคน จากประชากรราว 66 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราติดเชื้อ ราว 2 % กว่า ผลเบื้องต้นพบว่า มีอีกประมาณ 1 % ที่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และไม่มีรายงานการตรวจติดเชื้อมาก่อน เท่ากับว่าเป็นคนที่เคยติดเชื้อแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากการมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ ติดเชื้อ หรือฉีดวัคซีน โดยข้อมูลรายเขตจะแถลงอีกครั้งในวันที่ 3 ธ.ค.2564 เท่ากับว่าประเทศไทยน่าจะมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ราว 3 %กว่า

        “ข้อมูลนี้แสดงว่าประเทศไทยมีกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น โดยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนและยังไม่มีประวัติติดโควิด-19 ในสัดส่วนที่ไม่มาก สะท้อนว่าคนที่ติดเชื้อแต่ไม่ได้เข้าสู่ระบบการตรวจยืนยันนั้นมีไม่มาก รวมถึง  กลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้รับวัคซีนก็มีไม่มากเช่นกัน ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มคนที่ยังเวอร์จิ้นคือ ไม่เคยฉีดวัคซีนและไม่มีประวัติรายงานติดเชื้อมาก่อน”นพ.ศุภกิจ กล่าว 
 

     พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์  ศิลาวงษ์