แนะสร้าง“ห้องเรียนฉุกเฉิน”ฟื้นฟูเด็กหลุดนอกระบบจากโควิด-19
เครือข่ายการศึกษา ร่วมกับ กสศ. สำรวจสถานการณ์ปัญหาเด็กเสี่ยงหลุดนอกระบบในช่วงโควิด-19 พบ ยากจนฉับพลัน – ย้ายถิ่นจากการตกงาน - เรียนออนไลน์ไม่มีประสิทธิผล แนะสร้าง “ห้องเรียนฉุกเฉิน” ดูแลฟื้นฟู ปรับหลักสูตรยืดหยุ่น
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับเครือข่ายการศึกษา จัดเสวนา “หยุดวงจรเด็กหลุดออกนอกระบบจากวิกฤตโควิด-19 เจาะลึกกระบวนการช่วยเหลือฟื้นฟูจากพื้นที่ต้นแบบ” เพื่อสำรวจสถานการณ์เด็กจากผลกระทบโควิด-19 และระดมสมองจากพื้นที่และองค์กรต้นแบบที่สามารถแก้ปัญหาเด็กหลุดนอกระบบในระยะเร่งด่วน ในการเร่งหาแนวทางในการรับมือป้องกันและแก้ปัญหาเด็กกลุ่มเปราะบาง ในระยะฟื้นฟูหลังการระบาดของโควิด-19
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีเด็กเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากผลกระทบจากโควิด-19 ช่วงสองปีเศษทำให้ครอบครัวคนไทยที่มีรายได้เป็นเงินเดือน ลูกจ้างรายวันทั้งหลาย เกิดสภาพ ‘ตายดิบ’ หรือ ‘ตายครึ่งตัว’ มีนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นสูงเป็นสถิติใหม่ถึง 1,244,591 คน หรือคิดเป็น 19.98 % ของนักเรียนทั้งหมด สร้างสถิติสูงสุดจากที่ผ่านมา เปรียบเทียบจากเทอม 1/2563 ที่มีนักเรียนยากจนพิเศษจำนวน 994,428 คน หรือเพิ่มขึ้นจำนวน 250,163 คน
กสศ.และเครือข่ายภาคีในพื้นที่ ได้รวบรวมสาเหตุการหลุดจากระบบการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามาจาก 2 ประเด็นหลักคือ
1. หลุดจากความยากจนฉับพลัน จากสึนามิไวรัสโควิด-19 สองปีสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำกลับมาหนักขึ้น ทั้งคนตกงาน ต้องย้ายถิ่นฐาน ไม่มีรายได้
2. หลุดจากเรียนออนไลน์ ออนแฮนด์ ทำให้เกิดความถดถอยทางการศึกษาไปถึง 50% เด็กป.1-ป.3 อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้คิดเลขไม่ได้ การเรียนรู้จากระบบออนไลน์มีประสิทธิภาพ แค่ 50% มีความเหลื่อมล้ำในประเด็นอุปกรณ์ไอที การสำรวจของกสศ. เด็กนักเรียนใน 29 จังหวัด ประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าและอุปกรณ์ถึง 87% เมื่อเรียนไม่ทันเด็กติดศูนย์ ติด ร. เปิดเทอมไม่มาเรียนหายตัวไปจากระบบการศึกษาแบบเงียบๆ แม้จะยังมีชื่ออยู่ในระบบก็ตาม
- เด็กหลุดนอกระบบนาน3 เดือนเสี่ยงเข้าสู่วงจรสีเทา
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งให้รอดไม่ใช่แค่เรื่องทุนการศึกษาอย่างเดียว ต้องมองให้ครบมิติเพื่อป้องกันไม่ให้หลุดจากระบบซ้ำอีก 1.สุขภาพกายเช่น การเข้าถึงวัคซีน ภาวะโภชนาการ 2.สุขภาพใจ เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มมีภาวะความเครียด ซึมเศร้า มีแรงกดดันความกังวลในช่วงการกลับเข้ามาเรียนอีกครั้ง 3.สังคม ภาวะโดดเดี่ยวไม่มีเพื่อน การทำงานที่เสี่ยงอันตราย หรือถูกเอาเปรียบค่าแรง 4.ด้านการศึกษา ความรู้ที่ถดถอย เรียนไม่ทันเพื่อน
“ที่น่าเป็นห่วงคือช่วงสามเดือนอันตรายถ้าเด็กหลุดจากระบบการศึกษานานถึงสามเดือนจะเสี่ยงที่พวกเขาจะเข้าสู่วงจรสีเทา ทั้งติดเพื่อน ติดเกม ติดยาเสพติด หรือถ้าเราไม่ทำอะไรแล้วพวกเขาเข้าไปในสถานพินิจ พอออกมาสามเดือนก็มีโอกาสกลับเข้าไปซ้ำได้อีก ตรงนี้เป็นบทเรียนที่เราเริ่มเห็นแล้วว่า สังคมไม่อาจปล่อยให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปแบบลำพังต่างคนต่างทำไม่ได้ แต่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเด็กยากจนด้อยโอกาส ช่วยกันซ่อมชีวิต ซ่อมจิตวิญญาณให้เขากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศิริพร พรมวงศ์ ผู้จัดการโครงการคลองเตยดีจัง กล่าวว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมเมืองมีหลายด้าน กลายเป็นความยากจนครบวงจร ทั้งที่อยู่ การศึกษา รายได้ การที่จะให้เด็กคนหนึ่งหลุดพ้นความยากจนนั้นยากมาก เด็กต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน งานแรกคือแจกไพ่ ขายล็อตเตอรี่ เรียงเบอร์ ยิ่งมีการระบาดโควิด-19 ความเหลื่อมล้ำยิ่งมากเด็กหลุดออกจากระบบมากขึ้น
- ระบบการศึกษา ไม่ตอบโจทย์ชีวิต
จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและเยาวชนใน 4 ชุมชนที่มีประชากรกว่า 5,000 คน ในจำนวนนี้มีกลุ่มที่อายุ 0-20 ปี ราว 1,400 คน พบว่ามีจำนวนกลุ่มเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา 200 คนที่ยังมีชื่ออยู่ในโรงเรียน แต่ผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ ทำให้เด็กเบื่อหน่ายการเรียน เรียนไม่ทันเพื่อน ไม่เข้าใจ ทำให้ไม่มีจุดหมายในการเรียนต่อ มีแนวโน้มหลุดจากระบบ
ด้านน.ส. รุ่งกานต์ สิริรัตน์เรืองสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา กล่าวว่า จ.ยะลา มีปัญหาเรื่องทุพโภชนาการเป็นอันดับสองของประเทศเด็กแคระแกร็น เด็กปฐมวัยไม่ใช่หลุดจากระบบการศึกษา แต่เข้าไม่ถึงการศึกษา ส่วนเด็กในระบบการศึกษาอยู่ในครอบครัวยากจนมีพี่น้องหลายคนมีความยากลำบากในการมาเรียน ที่ผ่านมามีเด็กหลุดจากระบบก็ดึงกลับมาพัฒนาทักษะชีวิต สร้างแรงบันดาลใจแต่ก็ยังหลุดไปอีก ส่วนหนึ่งเพราะระบบการศึกษาไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิต โมเดลการศึกษาจริงๆ ต้องตอบโจทย์สิ่งที่เด็กต้องการคือเรื่องรายได้ ปากท้อง ทำให้พยายามสอดแทรกทักษะอาชีพเข้าไปในในหลักสูตร
จากข้อมูลในพื้นที่มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาจำนวนมาก โดยใน 3 อำเภอนำร่องมีเด็กนอกระบบและต้องการความช่วยเหลือกว่า 2,800 คน และยังมีเด็กในระบบการศึกษาอีกประมาณ 1,000 คน ต้องการความช่วยเหลือแต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดทำให้ช่วยได้เพียงแค่ 377 คน สะท้อนให้เห็นว่าเป็นปัญหาที่หนัก
- สร้างห้องเรียนฉุกเฉิน ฟื้นฟูเด็กหลุดนอกระบบ
เป็นเรื่องที่ กระทรวงศึกษาธิการเจ้าภาพหลักไม่สามารถทำงานได้เพียงหน่วยงานเดียวแต่ต้องทำงานร่วมกันกับ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย ต้องมาร่วมมือกันแก้ปัญหา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหนึ่งในกระทรวงมหาดไทยต้องทำงานแบบบูรณาการร่วมกับทุกองคาพยพ ซึ่งยะลามีต้นทุนที่ดีในเรื่องความร่วมมือภาคส่วนต่างๆ ที่ช่วยหนุนเสริมการทำงาน
“แค่เด็กออกจากโรงเรียนหนึ่งเดือนก็อันตรายแล้ว เราจะทำอย่างไรให้เด็กไม่หลุดไปจากระบบ เปรียบเทียบกับ โรงพยาบาลที่มีห้อง ER Emergency Room หรือ ห้องฉุกเฉิน โรงเรียนก็น่าจะมี Emergency Classroom หรือห้องเรียนฉุกเฉินที่ เมื่อรับเด็กกลับเข้ามาเรียนแล้วจะใช้กระบวนการสอนเสริมอย่างไร เรียกเด็กมาคุยเพื่อเก็บงานวิธีใดก็ได้แต่ให้คุณรับเด็กไว้ก่อน แล้วกระบวนการจัดการภายในให้เป็นเรื่องของโรงเรียน และต้องขอฝากไปถึงกระทรวงศึกษาธิการให้ไปขบคิดต่อยอดคิดค้นหลักสูตรวิธีการที่เป็น Emergency Classroom เมื่อรับเด็กกลับมาเรียนแล้วจะมีรูปแบบในลักษณะแบบใดต่อไป” รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา กล่าว