อาการโอมิครอน ผู้ติดเชื้อรักษาตัวในไทย
"หมอนิธิพัฒน์" ระบุผู้ติดโอมิครอนรักษาในไทย ส่วนใหญ่อาการน้อย-ไม่มีอาการ อยู่รพ.เอกชน-ต่างจังหวัด สอดคล้องข้อมูลทั่วโลก ที่ศิริราชยังไม่มีส่งผู้ป่วยเข้ารักษา
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้ป่วยโอมิครอนซึ่งส่วนใหญ่อยู่รพ.เอกชนและรพ.ต่างจังหวัด จากการติดตามอาการส่วนใหญ่มีอาการน้อยจนถึงไม่มีอาการ ทางการแพทย์ได้มีการประชุมเตรียมการเป็นระยะๆ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ทั่วโลกระบุอาการรุนแรงน้อย พบอาการรุนแรงเพียงบางประเทศเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ในส่วนของประเทศไทยทั้งผู้ป่วยคนไทยและคนต่างประเทศที่เดินทางเข้ามากว่า 200 รายยังไม่มีอาการรุนแรงใดๆ แนวทางการรักษาก็คงเดิมไม่ได้แตกต่างจากเดิม ที่มีการระบุว่าเชื้อโอมิครอนลงปอดช้านั้นอาจจะไม่จริง เนื่องจากบุคคลนั้นอาจจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน คนที่ฉีดวัคซีนไม่ว่าเชื้อสายพันธุ์ใดก็มีผลทำให้เชื้อลงปอดช้าได้อยู่แล้ว จึงอาจจะไม่ได้เป็นพฤติกรรมของตัวเชื้อโอมิครอนเอง ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงถือเป็นเกราะป้องกันโอมิครอนได้ แม้จะว่าจะมีประสิทธิภาพเหลือสัก 50-60% แต่ยังสามารถชะลอเชื้อไปได้จนกว่าจะมีวัคซีนที่จำเพาะในการป้องกันสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งคาดว่าบริษัทผู้ผลิตวัคซีนน่าจะเร่งวิจัยให้เสร็จประมาณปลายมี.ค.-เม.ย.2565
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศไทย จะเพิ่มขึ้นแน่นอน เนื่องจากข้อมูลเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.จากการสุ่มตรวจสายพันธุ์โอมิครอนในไทยมีสัดส่วนประมาณ 3% จะค่อยๆ ขึ้นแต่อาจจะไม่ชันเหมือนเช่นในต่างประเทศ คาดการณ์ว่าจะถึง 50% ของเชื้อทั้งหมดในราวครึ่งเดือนหลังของม.ค.ถึงก.พ.2565 อาจจะมียอดผู้ป่วยใหม่รายวันพีคที่ 1-2 หมื่นคน เพียงแต่ผู้ป่วยอาการหนักจะอยู่ที่ราว 2% หรือ 200-400 คนต่อวัน จากเดิมอยู่ที่ 5% ซึ่งภาคการแพทย์ยังรับมือไหว อย่างไรก็ตามเป็นเพียงการประเมินคาดการณ์ช่วงเวลาอาจจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถคุมสถานการณ์ในช่วงปีใหม่ได้ดีมากน้อยแค่ไหน รวมถึงช่องโหว่จากการเล็ดรอดเข้ามา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีเล็ดรอดอยู่ ขึ้นอยู่ว่าจะตามจับได้หรือไม่
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ที่รพ.ศิริราชยังไม่มีผู้ป่วยโอมิครอนเข้ามารักษา แต่ได้เตรียมการรองรับไว้ ทุกรพ.ในกทม.ก็เตรียมการไว้ เนื่องจากเชื้อโอมิครอนประมาณ 50-60% อยู่ในกทม. แม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการไม่หนัก แต่การรับเข้ามารักษาในรพ.เพื่อไม่ให้เกิดการกระจายในชุมชน จนกว่าจะรับไม่ไหวหรือกลายเป็นเชื้อหลักก็คงต้องปรับวิธีการรักษาด้วยระบบHIหรือรักษาที่บ้านแต่คาดว่าจะไม่รุนแรง
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ กล่าวถึงกรณีที่ฝรั่งเศสยกเลิกการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ว่า ฝรั่งเศสยกเลิกเนื่องจากมีข้อมูลถึงประสิทธิภาพการใช้ยาในสถานการณ์จริงที่ลดลงจาก 50 กว่า% เหลือ 30 % สำหรับประเทศไทยมีการสั่งจองจัดซื้อไปแล้ว คงไม่ยกเลิก เราอาจจะเก็บไว้ใช้คู่กับยาฟาวิพิราเวียร์ก็อาจจะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น การยกเลิกการใช้ยาตัวใดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยสั่งไปแล้วอาจจะยกเลิกไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้จักวิธีใช้ก็เชื่อว่ายังคงใช้ได้อยู่ ประสิทธิภาพอาจจะลดลงบ้างแต่ยังดีกว่าไม่มีอะไรใช้