อีก 1 สัปดาห์ยอดโควิด19ทะลุวันละ1หมื่นราย
"หมอประสิทธิ์"เชื่ออีก 1 สัปดาห์ยอดโควิด19ในไทย ทะลุวันละหมื่นราย ปลายม.ค.แตะ2-3หมื่นราย เผย 2ข้อกังวลโอมิครอน
เมื่อวันที่ 5 มกราคม ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน ว่า ขณะนี้พบโอมิครอนมากว่า 5 สัปดาห์แล้ว เชื่อว่าหลายประเทศรับรู้ธรรมชาติของโรคแล้วว่าอาการไม่รุนแรง โจมตีในระบบทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าปอด ดังนั้น หลายประเทศจึงใช้วิธีการรักษาที่บ้านมากกว่าในรพ.ยกเว้น กรณีอาการรุนแรงจริงๆ ต้องเข้า รพ. เท่านั้น
เราเรียนรู้ความจริงของโอมิครอน 5 อย่าง คือ
1.กระจายเชื้อเร็ว อย่างน้อย 3 เท่าของเดลต้า ตัวเลขติดเชื้อตอนนี้ก็ยืนยันแล้ว โดยเฉพาะหลังปีใหม่ที่มีนิวไฮท์(New high) ในหลายประเทศ
2.อาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อายุไม่มาก อาการไม่รุนแรง หรือไม่มีอาการ เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ทั่วโลกรับวัคซีนมากแล้ว โอกาสติดเชื้อแล้วเข้า รพ. หลายประเทศรายงานว่าอัตราอยู่ที่ 1 ใน 3 ถึง 1 ใน 2 ของการติดเชื้อเมื่อเทียบกับเดลต้า
3.พยาธิสภาพของไวรัส เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน โอกาสลงปอดน้อยกว่าเดลต้า เป็นเหตุผลที่ความรุนแรงน้อยลง แต่แพร่เชื้อได้ดีเพราะติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ที่เกิดอาการไอ จาม ซึ่งแพร่เชื้อได้มากขึ้น
4.วัคซีนที่ฉีดทุกชนิดเพียง 2 เข็มไม่พอในการป้องกันโอมิครอน ซึ่งทั่วโลกเริ่มออกมาประกาศเร่งฉีดเข็มกระตุ้น
5.ยารักษา ซึ่งมีรายงานออกมาว่า มียาบางตัวที่อาจตอบสนองโอมิครอนได้ไม่ดีนัก แต่ยาส่วนใหญ่ยังได้ผลดี รวมถึงยาฟาวิพิราเวียร์ โมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาในตระกูลยาต้านไวรัสพิราเวียร์ ยังได้ผลดี
"ความน่ากังวลใจมากสุดตอนนี้คือ 1. ระบาดเร็ว ซึ่งต้องระวังการกลายพันธุ์ที่อาจไปพบในจุดที่ทำให้โรครุนแรงขึ้น แม้ตามหลักการแล้วจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ต้องระวัง 2. เมื่อติดเชื้อมาก ก็จะพบสัดส่วนผู้อาการรุนแรงมากขึ้น และต้องเข้ารักษาในรพ. ก็จะเริ่มกลับมากระทบระบบสาธารณสุขของประเทศนั้นๆ จึงไม่อยากให้แพร่กระจายมาก" ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนก แต่ก็ไม่อยากให้ผ่อนคลายมากเกินไป เชื่อว่าไม่เกิน 1 สัปดาห์นี้ ไทยจะพบการติดเชื้อใหม่ทะลุหมื่นรายแน่นอน และภายในปลายเดือนมกราคมนี้ จะเห็นตัวเลขวันละ 2-3 หมื่นราย
"อีก 3-4 วันก็เกินหมื่นรายต่อวัน แต่บางคนอาจมองว่าไม่เห็นตัวเลขเสียชีวิตจะเพิ่ม อาจประมาท นี่เป็นสิ่งอันตราย คิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะติดเชื้อแล้วเสียชีวิตหรือไม่ ที่สำคัญคือ คนรอบข้างที่อาจติดเชื้อจากตัวเอง แล้วเสียชีวิตได้เช่นกัน" ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ตัวอย่าง 2 ประเทศ คือ
- สหราชอาณาจักร พบว่า ประชากรได้รับวัคซีนเข็มแรก 90% ได้รับ 2 เข็ม 83% และได้รับ 3 เข็มอีก 60% แล้วแต่ปรากฏว่าพบติดเชื้อวันละกว่า 2 แสนราย
- แอฟริกาใต้ ฉีดวัคซีนน้อยแต่เริ่มคุมสถานการณ์ดีขึ้น ผู้ติดเชื้อลดลง
ฉะนั้น สิ่งที่ต้องย้ำคือวัคซีนมีประโยชน์แต่ต้องคู่กับมาตรการสังคม การป้องกันตัวเอง สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือ เป็นสิ่งที่ยังต้องทำ ยังจำเป็น เพราะสถานการณ์ตอนนี้ยังวางใจไม่ได้เด็ดขาด
"ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อตัวเองรับเชื้อเข้าไปแล้ว จะไม่เสียชีวิต ดังนั้นไม่ควรเสี่ยง เพราะตัวเราสามารถลดโอกาสเสี่ยงนั้นได้ ด้วยการฉีดวัคซีนและป้องกันตัวเอง เพื่อให้เราปลอดภัย" ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าในขณะนี้มีบางประเทศกำหนดแนวทางรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หากรับวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็มแล้วไม่จำเป็นจะต้องเข้ารักษาในระบบรพ. ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เราก็อยู่ในรูปแบบนี้เช่นกัน เนื่องจากโอมิครอนแพร่เร็ว หากทุกรายต้องเข้า รพ. เตียงจะรองรับไม่พอ เพราะสถิติติดเชื้อถูกทำลายทุกวัน เมื่อวานนี้(4ม.ค.) ทั่วโลกเจอ 2.5 ล้านราย มากเกือบ 2 เท่าในสมัยเดลต้า โดยส่วนใหญ่ตอนนี้ผู้ติดเชื้อมีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ ฉะนั้น เราสามารถดำเนินการในระบบแยกกักที่บ้าน(Home Isolation) หรือ ศูนย์พักคอยในชุมชนได้(Community Isolation) เพื่อให้ รพ.รักษาผู้ป่วยโรคอื่นได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด
หากตรวจ ATK แล้วให้ผลบวก ก่อนจะรักษาเองที่บ้าน ต้องรายงานข้อมูลเข้าระบบของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งเบอร์ 1330 หรือช่องทางต่างๆ เพื่อให้มีระบบส่งต่อหากอาการรุนแรงขึ้นภายหลัง โดยเฉพาะผู้ยังไม่รับวัคซีนหรือยังรับไม่ครบ ก็มีความเสี่ยงที่เมื่อติดเชื่อแล้วอาการของโรคจะรุนแรง เพราะต้องเข้าใจว่าเชื้อในไทยส่วนใหญ่ยังเป็นเดลต้า ที่มีผลตรงกับปอดอาการรุนแรงได้
"ผู้รับวัคซีนครบ ตรวจ ATK พบว่าติดเชื้อ แต่ไม่มีอาการอะไร ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาในรพ. แม้กระทั่งครั้งที่เราเจอเดลต้า ตรวจ ATK บวก เราก็ยังทำ HI ไม่ต้องทำ RT-PCR ด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องแจ้งเข้าระบบมา" ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว