วว. หนุนใช้ 'สารชีวภัณฑ์' เพิ่มผลผลิตเกษตร ตอบโจทย์ BCG

วว. หนุนใช้ 'สารชีวภัณฑ์' เพิ่มผลผลิตเกษตร ตอบโจทย์ BCG

วว. ขับเคลื่อน BCG หนุนใช้ “สารชีวภัณฑ์” ยกระดับผลิตผลทางการเกษตร พร้อมให้บริการระดับอุตสาหกรรมโดย ICPIM 2 ครอบคลุมทั้งสายการผลิตเชื้อรา-แบคทีเรีย

ชีวภัณฑ์” เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะมาจาก พืช สมุนไพร จุลินทรีย์  มีหลายรูปแบบที่คุ้นเคยและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป คือ EM (Effective microorganisms) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายเศษซากพืช ช่วยเร่งปฏิกิริยาปุ๋ย เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ผลิตฮอร์โมน ใช้ในการหมักร่วมกับสมุนไพรเพื่อนำไปใช้เป็นปุ๋ยนำ ใช้ป้องกันกำจัดแมลง

นอกจากนี้ยังมีจุลินทรีย์เดี่ยว ๆ ที่ผลิตขายเชิงพาณิชย์และผ่านการขึ้นทะเบียนกับสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตรจะมี 5 สายพันธุ์หลัก คือ ไตรโคเดอร์มา บิววาเรีย เมธาไรเซียม บีที และบีเอส ซึ่งจุลินทรีย์ทั้ง 5 ชนิดนี้จะนำไปใช้ควบคุมศัตรูพืช ปัจจุบันภาครัฐรณรงค์ให้เกษตรกรทำการเกษตรมุ่งเน้นระบบการผลิตพืชแบบเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ โดยใช้ชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืชมากขึ้นเพื่อการขับเคลื่อนเกษตรกรรมของประเทศให้ยั่งยืน

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนประเทศเชิงบูรณาการในทุกมิติ มุ่งใช้ความได้เปรียบเชิงทรัพยากรและวัฒนธรรมโดยการขับเคลื่อนนโยบาย BCG เป็นฐานในการพัฒนาที่มีเป้าหมายร่วมคือ "ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง สู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยั่งยืนภายใน 7 ปี

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวง อว. นำนโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นธงดำเนินงานองค์กร และมีองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ สร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วนของประเทศ

โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการดำเนินงานโดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ ในส่วนของศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหารหรือ ICPIM 2 ที่มีสายการผลิตชีวภัณฑ์ครอบคลุมตอบโจทย์ทั้งสายการผลิตเชื้อราและแบคทีเรีย 

รูปแบบของชีวภัณฑ์ที่ได้จากการผลิตโดยโรงงาน ICPIM 2 มีจำนวน 3 รูปแบบ คือ หัวเชื้อเหลว หัวเชื้อน้ำ และหัวเชื้อผง ในส่วนของบรรจุภัณฑ์มี 3 ขนาด คือ เล็ก กลาง และใหญ่ สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ชีวภัณฑ์ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ มีกำลังการผลิตรวมต่อปีมากถึง 115,000 ลิตร
 

วว. หนุนใช้ \'สารชีวภัณฑ์\' เพิ่มผลผลิตเกษตร ตอบโจทย์ BCG

ICPIM 2” มีศักยภาพตอบโจทย์ให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทย มีหลายส่วนงานที่ร่วมบูรณาการดำเนินงาน ครอบคลุมและรองรับงานด้านชีวภัณฑ์ครบวงจร ได้แก่ ศูนย์จุลินทรีย์ มีสายพันธ์จุลินทรีย์ในคลังมากกว่า 11,000 สายพันธุ์ เพื่อนำไปวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ มีโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ พร้อมให้บริการจัดเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ให้กับผู้ประกอบการ มีศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งมีห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐานตาม OECD GLP GUIDLINE ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบความเป็นพิษของจุลินทรีย์

ส่วนของโรงงาน ICPIM 2 ให้บริการครบวงจรทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ใหม่ ๆ ในระดับห้องปฏิบัติการ ทดสอบกระบวนการผลิต ขยายจุลินทรีย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในงานด้านชีวภัณฑ์ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา รับน้อง ๆ ในระดับอุดมศึกษามาเรียนรู้ ฝึกงาน รวมถึงทำวิจัยในด้านต่าง ๆ ของการพัฒนางานด้านชีวภัณฑ์ ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ โรงงาน และภาคสนาม เพื่อเป็นแรงงานรองรับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพต่อไปในอนาคต

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต กล่าวถึงข้อดีของสารชีวภัณฑ์ที่ วว. ผลิตว่า ผ่านการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของประสิทธิภาพในการควบคุมศัตรูพืช รวมถึงทดสอบความเป็นพิษในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ISO/IEC 17025 ตามหลัก OECD GLP GUILDLINE และผ่านการผลิตในโรงงานด้วยเครื่องจักรระดับกึ่งอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน กระบวนการผลิตสะอาด ปราศจากเชื้ออื่นปนเปื้อน 

ทั้งนี้ วว. ได้นำสารชีวภัณฑ์ที่วิจัย พัฒนาและผลิต ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานพื้นที่ “กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัด” รวมจำนวน 1.3 ล้านลิตร เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชทดแทนสารเคมีทางการเกษตร ลดสารพิษตกค้าง เพิ่มความปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรผู้ใช้ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และลดการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ

โดย วว. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสารชีวภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และอยุธยา ครอบคลุม 4 กลุ่มพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ไม้ผล พืชไร่ (ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง) พืชสมุนไพรและพืชผัก รวมทั้งได้พัฒนากระบวนการขยายชีวภัณฑ์ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการเพื่อขยายสู่การผลิตเชิงพาณิชย์และระดับชุมชน 

วว. หนุนใช้ \'สารชีวภัณฑ์\' เพิ่มผลผลิตเกษตร ตอบโจทย์ BCG

วว.ดำเนินโครงการภายใต้แผนงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ “โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลางตะวันตก ด้วย BCG โมเดล” ในปีงบประมาณ 2564 จากการดำเนินงานดังกล่าวได้ส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมดังนี้ 

  • เกษตรกรกว่า 200 ราย นำเทคโนโลยีไปใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการพัฒนาปัจจัยการผลิตหมุนเวียนสำหรับเกษตรกรแปลงใหญ่เพิ่มขึ้นได้ 5 ปัจจัยการผลิต จำนวน 6 เทคโนโลยี ดังนี้ เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออก เทคโนโลยีการผลิตข้าวเสริมซีลีเนียม เทคโนโลยีการพัฒนาวัสดุเพาะเห็ด (ฟางข้าวเสริมซีลีเนียม กากมันสำปะหลัง) เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพผลผลิตอ้อยด้วยปุ้ยอินทรีย์เคมีเสริมจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลผลิตพืซด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต (มันสำปะหลัง กล้วย) และเทคโนโลยีขยายชีวภัณฑ์ในถังชุมชนโมเดล วว. 
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร โดยมีเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และบริษัท รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Functional Food และบรรจุภัณฑ์ 
  • มีผู้ประกอบการร่วมลงทุนด้าน R&D ภายใต้ BCG Model 
  • เกิดต้นแบบผลิตภัณฑ์ Functional Food และเวชสำอาง จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ และต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน 2 ต้นแบบ ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการดำเนินงานจำนวน 370 ล้านบาท

“ประโยชน์ของการใช้สารชีวภัณฑ์ คือ การยกระดับผลิตผลทางการเกษตรรองรับนโยบายของรัฐบาล มุ่งสู่ระบบการผลิตพืชปลอดภัย และระบบการผลิตพืชอินทรีย์ เพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตร ลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ลดการตกค้างของสารเคมีในพืชผลการเกษตร ปลอดภัยทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค ต่อสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทย”