‘ทรูควบดีแทค’ ดัน 'ค่าบริการพุ่ง' 200% ฉุด 'จีดีพี' หายวับ 3 แสนล้าน!!

‘ทรูควบดีแทค’ ดัน 'ค่าบริการพุ่ง' 200%  ฉุด 'จีดีพี' หายวับ 3 แสนล้าน!!

"โฟกัส กรุ๊ป" ทรู ดีแทค ครั้งสุดท้ายรอบนักวิชาการ กสทช.กางโมเดลผลกระทบทางเศรษฐกิจตามแบบจำลอง ชี้หากดีลผ่านฉลุย กรณีเลวร้ายสุด อาจฉุดจีดีพีประเทศลดลง 1.99% เม็ดเงินสูญทันที 3 แสนล้านบาท ค่าโทรฯ เพิ่มขึ้นเฉียด 244% เร่งสรุปข้อมูลโฟกัส กรุ๊ป ก่อนชงเข้าบอร์ด 15 มิ.ย.นี้

ดีลการควบรวมธุรกิจระหว่างทรู-ดีแทค แม้ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ในแง่ของการตรวจสอบการควบรวมว่าสามารถทำได้หรือไม่ของหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง “กสทช.” เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังบอร์ดชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ และมีมติวางโรดแมปการทำหน้าที่ พร้อมจัดให้มีการทำโฟกัส กรุ๊ปจำนวน 3 ครั้ง เพื่อให้ได้ความเห็นจากทุกภาคส่วนและมีมิติที่หลากหลาย ก่อนตัดสินใจว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับดีลแสนล้านบาทของเอกชนครั้งนี้

นายศุภัช ศุภชลาศัย กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวในการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในวงจำกัด (โฟกัส กรุ๊ป) วานนี้ (7 มิ.ย.) ต่อกรณีการควบรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ว่า โฟกัส กรุ๊ปครั้งนี้ ในรอบวิชาการถือเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้า จัดในรอบภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค. และกลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธพลเมืองในวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา

เคาะเฟรมเวิร์กอย่างรอบคอบ

นายศุภัช กล่าวว่า ก่อนจะถึง โฟกัส กรุ๊ปรอบที่ 3 ในกลุ่มนักวิชาการรอบนี้ ที่จะเป็นการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นหากมีการควบรวมธุรกิจของทรูและดีแทค โดย กสทช. กำหนดกรอบการทำงาน (เฟรมเวิร์ก) ด้วยความรอบคอบ ซึ่งใช้เวลาทำเป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นนำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการด้านเศรษฐศาสตร์ก่อนมาปรับปรุงอีกครั้งหนึ่งและนำมาโฟกัส กรุ๊ป ครั้งนี้ จึงขอให้ทุกฝ่ายมีความไว้วางใจกสทช.ว่าได้ทำผลศึกษาผลกระทบด้วยความบริสุทธิ์อยู่บนข้อเท็จจริง

สำหรับ เฟรมเวิร์ก ในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ จากการควบรวมกิจการได้วิเคราะห์ผ่าน 2 รูปแบบ คือ

1.การวิเคราะห์โครงสร้างการแข่งขัน และผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ ประกอบด้วย ด้านโครงสร้าง ทั้งกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มค้าส่งบริการ และ กลุ่มค้าปลีกบริการ การนิยามตลาด และตลาดที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ต แชร์) ทั้งกรณีที่มี และไม่มีการควบรวมธุรกิจ และ ด้านพฤติกรรม

ทั้งนี้ ผลศึกษาได้ดูผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ในกรณีที่ไม่มีความร่วมมือ ดูความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นด้วยการศึกษาจากบทเรียนของต่างประเทศที่มีอยู่ มีการพิจารณาพฤติกรรมและผลกระทบต่างๆ เช่น ราคาค่าบริการ อุปสรรคในการเข้าตลาด การทดแทนกันของบริการ การคงสิทธิของเลขหมาย (นัมเบอร์พอร์ททิบิลิตี้) และ

2. ความมีประสิทธิภาพ ได้แก่ ประสิทธิภาพที่จะเกิดขึ้นต่อให้ผู้ให้บริการภายหลังการควบรวม และความเป็นไปได้ ว่าประโยชน์จากการลดต้นทุนส่วนเพิ่มที่จะส่งผ่านไปถึงผู้บริโภค

ส่ง“กฤษฎีกา”ตีความอำนาจ

แหล่งข่าวจากบอร์ด กสทช. กล่าวว่า ขณะนี้ สำนักงาน กสทช.ได้ตั้งคณะประสานงานอนุกรรมการ 4 คณะ ตามที่บอร์ดได้เคยมีมติไปก่อนหน้านี้ โดยมีนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการกสทช.เป็นประธานเพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะและความเห็นต่างๆ รวมทั้งรวบรวมผลสรุปจากการทำโฟกัส กรุ๊ปทั้ง 3 ครั้ง เพื่อสรุปส่งเป็นรายงานมาให้บอร์ดพิจารณา ซึ่งน่าจะนำเสนอในวาระแรกให้บอร์ดรับทราบได้การประชุมวันที่ 15 มิ.ย.นี้ จากนั้น บอร์ดอาจจะมีข้อคิดเห็นหรือให้เพิ่มรายงานที่เกี่ยวข้องลงไป โดยขั้นตอนทุกอย่างจำเป็นต้องแล้วเสร็จในวันที่ 10 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นกำหนดการทำงานที่บอร์ดได้มีมติไปก่อนหน้านี้แล้ว

นอกจากนี้ บอร์ดยังได้ให้สำนักงาน กสทช.ส่งจดหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ตีความอำนาจของกสทช.ว่า กสทช. มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาสั่ง “อนุญาต” หรือ “ไม่อนุญาต” การควบรวมธุรกิจของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมครั้งนี้หรือไม่ แม้ว่าจะมีระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11)

และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21 ที่บัญญัติไว้ว่า การประกอบกิจการโทรคมนาคม นอกจากต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแล้ว ให้คณะกรรมการกำหนดมาตรการเฉพาะตามลักษณะการประกอบกิจการโทรคมนาคมมิให้ผู้รับใบอนุญาตกระทำการอย่างใดอันเป็นการผูกขาด หรือลด หรือจํากัดการแข่งขันในการให้บริการกิจการโทรคมนาคม ได้แก่ (2) การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน

โดยกรณีนี้ ทรู และ ดีแทค ได้มีการยื่นรายงานการควบรวมตามข้อ 5 (1) ของประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการควบรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2561 ซึ่งตามข้อ 9 ของประกาศดังกล่าวยังระบุว่า การรายงานตามข้อ 5 ให้ถือเป็นการขออนุญาตจาก กสทช. ตามข้อ 8 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 กสทช. มีอำนาจในการสั่งห้ามการควบรวมนี้ได้ หากเข้าข่ายเป็นการผูกขาด ลดหรือจำกัดการแช่งขัน แต่บอร์ดก็ต้องการเอกสารยืนยันอย่างชัดเจนก่อนที่จะมีมติอะไรออกไป

แจงโมเดลคำนวณยึด2สูตร

นายประถมพงศ์ ศรีนวล เศรษฐกรเชี่ยวชาญ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 2 กสทช. กล่าวว่า สำนักงาน กสทช.ใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ผลกระทบด้านราคาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการควบรวมธุรกิจ 2 แบบ คือ Merger Simulation (MS) และ Upward Pricing Pressure Model (UPP) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้แพร่หลายในสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพื่อวิเคราะห์เรื่องควบรวมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า

โมเดลการใช้งานวอยซ์และดาต้า บ่งบอกถึงอัตราการเพิ่มขึ้นที่น้อยกว่า โมเดลการใช้งานด้านเสียงเพียงอย่างเดียว โดยอัตราค่าบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นน้อยที่สุด เมื่อไม่มีการร่วมมือกัน คือ 2.03-19.53% กรณีร่วมมือกันในระดับต่ำราคาเพิ่มขึ้น 12.57-39.81% กรณีร่วมกันในระดับสูง ราคาเพิ่มขึ้น 49.30-244.50%

ทั้งนี้ การดูผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ กรณีที่มีความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการ โดยดูความเป็นไปได้ที่จะเกิดผ่านการศึกษาบทเรียนของต่างประเทศที่มีอยู่ รวมถึงการดูผลกระทบกรณีมีการร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการหลังรวมธุรกิจในด้านต่างๆ เช่น อัตราค่าบริการ การเข้าสู่ตลาดผู้ให้บริการบนโครงข่ายเสมือน (เอ็มวีเอ็นโอ) การทดแทนบริการ การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

แบบจำลองชี้จีดีพีหด-เงินเฟ้อพุ่ง

นายพรเทพ เบญญาอภิกุล รองคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีการรวมธุรกิจ กล่าวว่า ตามแบบจำลองดุลยภาพทั่วไปที่ถูกพัฒนาร่วมกันระหว่างสำนักงานกสทช. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย โดยใช้แบบจำลองมี 59 สาขาเศรษฐกิจ มีสมการและข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ที่ทุกสาขาเศรษฐกิจมีความเกี่ยวข้องกัน โดยมีทั้งกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ในสาขาเศรษฐกิจที่ทำการศึกษา

ผลการจำลอง ชี้ให้เห็นว่า ระดับความรุนแรงของผลกระทบจะขึ้นกับระดับการร่วมมือของผู้ประกอบการหลังควบรวมเป็นอย่างมาก ซึ่งระดับการร่วมมือจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ที่กำหนดสภาพตลาดภายหลังการควบรวม

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากสภาพตลาดและการแข่งขันหลังควบรวม ขึ้นกับปัจจัยดังนี้

1. จำนวนผู้ประกอบการที่เหลือภายหลังควบรวม ยิ่งน้อย ยิ่งร่วมมือง่าย

2. ขนาดของผู้ประกอบการโดยเปรียบเทียบ ยิ่งขนาดใกล้เคียงกัน ยิ่งร่วมมือง่าย

3. ลักษณะของบริการ บริการยิ่งเหมือนกัน ยิ่งร่วมมือง่าย

4. ผู้ประกอบการตรวจสอบราคากันได้ง่ายหรือไม่ ยิ่งตรวจสอบเปรียบเทียบราคากันง่ายยิ่งร่วมมือง่าย

5. ระยะเวลาที่ต้องทำธุรกิจในตลาดเดียวกัน ยิ่งทำธุรกิจแข่งกันมานาน ยิ่งร่วมมือง่าย

6. อุปสรรคของรายใหม่ในการเข้าสู่ตลาด ยิ่งรายใหม่เกิดยาก ยิ่งร่วมมือง่าย

7. ประสิทธิภาพของหน่วยงานกำกับดูแล

เขา กล่าวว่า สรุปผลการศึกษาพบว่า ต่อสภาพเศรษฐกิจในแง่ของอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นหลังการควบรวม โดยแบ่งเป็น

1. กรณีไม่มีการร่วมมือกัน อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วง 0.05% - 0.12%

2.กรณีร่วมมือกันในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วง 0.17% - 0.34%

3.กรณีที่ร่วมมือกันในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วง 0.60% - 2.07%

ส่วน สรุปผลการศึกษาอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยกรณีนี้หมายเหตุ จีดีพีหดตัวหมายถึงจีดีพีจะโตน้อยกว่าที่ได้คำนวณมา

1.กรณีไม่มีการร่วมมือกัน จีดีพีหดตัวลดลงในช่วง 0.05% - 0.11% คิดเป็นมูลค่าลดลง 8,244 - 18,055 ล้านบาท

2.กรณีร่วมมือกันในระดับต่ำ จีดีพีหดตัวลดลงในช่วง 0.17% - 0.33% คิดเป็นมูลค่าลดลงราว 27,148 - 53,147 ล้านบาท

3.กรณีที่ร่วมมือกันในระดับสูง จีดีพีหดตัวลดลงในช่วง 0.58% - 1.99% คิดเป็นมูลค่าลดลงราว 94,427 - 322,892 ล้านบาท

ชี้ดัชนีHHIสูงไม่สะท้อนราคาแพง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สำนักงานกสทช.ได้แสดงแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์จบลง ยังได้เปิดโอกาสให้นักวิชาการที่เข้าร่วมแสดงความเห็นต่อกรณีดังกล่าว ส่วนใหญ่ระบุว่า สำนักงานกสทช.ไม่ควรมองโมเดลทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว ควรเพิ่มปัจจัยที่อาจมีผลกระทบในด้านอื่นๆด้วย เช่น จิตวิทยา กฎหมาย และควรคำนวณสูตรที่มีตัวแปรเป็นผู้เล่นในตลาดรายอื่นเพิ่มเข้ามา เช่น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (เอ็นที) หรือแม้แต่ควรเพิ่มผลกระทบในด้านการการมีผู้ให้บริการโอเวอร์ เดอะ ท๊อป (โอทีที) ที่เข้ามาในตลาดและเข้ามาใช้โครงข่ายของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย

นอกจากนี้ ยังระบุว่าแม้ดัชนี Herfindahl-Hirschman Index (HHI) ที่เป็นดัชนีวัดความรุนแรงการแข่งขันในธุรกิจ เพื่อวัดระดับการกระจุกและการผูกขาดของตลาด โดยระบุว่า แม้การควบรวมที่จะเกิดขึ้นอาจทำให้ดัชนี HHI เพิ่มขึ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและสะท้อนถึงการกระจุกตัวของการแข่งขัน แต่ไม่ได้แปลว่า จะทำให้อัตราค่าบริการสูงขึ้นเสมอไป ดังนั้น กสทช.ที่มีหน้าที่ “กำกับ” และ “ดูแล” จำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ให้มากขึ้น