‘การ์ทเนอร์’ เปิด 3 เทรนด์ไอที สะเทือนโลกการเงิน-การลงทุน

‘การ์ทเนอร์’ เปิด 3 เทรนด์ไอที สะเทือนโลกการเงิน-การลงทุน

เทรนด์เทคโนโลยีเกิดใหม่ที่จะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมาย ปีนี้การใช้จ่ายไอทีของธุรกิจธนาคารและการลงทุนในไทยจะเติบโต 6.5%

ขณะที่การเติบโตมีความสำคัญสูงสุดต่อธุรกิจ ความจำเป็นในการจัดการความเสี่ยง การเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน และการดำเนินงานต่างต้องการการพัฒนายกระดับด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ

มูตูซี เซา รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า เทรนด์เทคโนโลยีเกิดใหม่สามกลุ่มที่จะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจโดยเฉพาะด้านการเงินและการลงทุนบรรลุเป้าหมายในการดำเนินการ สร้างการเติบโต พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงในปี 2565 ประกอบด้วย เทคโนโลยี Generative Artificial Intelligence (AI), Automatic Systems และ Privacy-Enhancing Computation

โดย Generative AI ช่วยให้ผู้บริหารไอทีของธนาคารสามารถนำเสนอเทคโนโลยีโซลูชันให้กับธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ให้เติบโตได้ ขณะที่ Autonomic Systems และ Privacy-Enhancing Computation จะเป็นโซลูชันดำเนินการระยะยาวที่นำเสนอทางเลือกใหม่ๆ สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในด้านบริการทางการเงิน

“เทคโนโลยีทั้งสามกลุ่มนี้จะยังเติบโตต่อเนื่องในสองหรือสามปีจากนี้ โดยมีส่วนสนับสนุนการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงขององค์กรธุรกิจที่ให้บริการทางการเงิน”

ลงทุนไอทียังโตไม่หยุด

การ์ทเนอร์คาดว่า มูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีของธุรกิจธนาคารและการลงทุนทั่วโลกในปี 2565 จะเติบโตขึ้น 6.1% หรือคิดเป็น 623 พันล้านดอลลาร์

โดยหมวดที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดคือ บริการด้านไอที ประกอบไปด้วย บริการให้คำปรึกษาและบริการด้านการจัดการ คิดเป็น 42% ของมูลค่าการใช้จ่ายด้านไอทีทั้งหมด 264 พันล้านดอลลาร์ สำหรับหมวดที่เติบโตเร็วที่สุดคือซอฟต์แวร์ ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 11.5% หรือประมาณ 149 พันล้านดอลลาร์

เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่การ์ทเนอร์คาดว่ามูลค่าการใช้จ่ายไอทีของธุรกิจธนาคารและการลงทุนในปี 2565 จะเติบโต 6.5% หรือ 82.2 พันล้านบาท 

สำหรับหมวดที่มีมูลค่าการใช้จ่ายมากที่สุด คือ “บริการด้านไอที” ที่ประกอบด้วย บริการให้คำปรึกษาและบริการด้านการจัดการ และหมวดที่เติบโตรวดเร็วที่สุดคือ ซอฟต์แวร์ คาดว่าจะเติบโตขึ้น 14% หรือ 13.5 พันล้านบาท

ยุคทอง ‘เอไอ-ระบบอัตโรมัติ’

เทรนด์ที่ 1 : Generative AI การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 20% ของข้อมูลทดสอบจากการใช้งานของผู้บริโภคจะถูกสังเคราะห์ขึ้นภายในปี 2568 โดย Generative AI จะเรียนรู้การเป็นตัวแทนดิจิทัลของสิ่งประดิษฐ์จากข้อมูลและสร้างนวัตกรรมที่คล้ายกับต้นฉบับ

ส่วนบริการด้านการธนาคารและการลงทุน เทคโนโลยีดังกล่าว จะเข้าไปมีส่วนในการคาดการณ์การซื้อขาย การสร้างข้อมูลแบบสังเคราะห์ และการสร้างแบบจำลองปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากความสามารถปรับเปลี่ยนในแบบเฉพาะบุคคลไปสู่ระดับที่สูงขึ้น

เทรนด์ที่ 2: ระบบอัตโนมัติ (Autonomic Systems) เป็นระบบที่จัดการได้ทั้งแบบกายภาพหรือจากซอฟต์แวร์ ซึ่งเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและปรับเปลี่ยนอัลกอริธึมของมันเองได้แบบไดนามิกแบบเรียลไทม์ 

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้พฤติกรรมของระบบในสภาวะระบบนิเวศที่ซับซ้อน ระบบอัตโนมัติจะสร้างชุดความสามารถทางเทคโนโลยีที่คล่องตัวสนับสนุนความต้องการและสถานการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและป้องกันการโจมตีโดยปราศจากการแทรกแซงของมนุษย์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2567 20% ขององค์กรที่จำหน่ายระบบหรืออุปกรณ์อัตโนมัติจะขอให้ลูกค้าละเว้นการชดใช้ค่าเสียหายตามข้อกำหนดเรื่องความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้พฤติกรรมจากผลิตภัณฑ์ของตน

สร้างมูลค่าเพิ่ม 'ข้อมูล'

เทรนด์ที่ 3: การประมวลผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความเป็นส่วนตัว (Privacy-Enhancing Computation : PEC) ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลมีความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าเชื่อถือ 

เนื่องจากกฎหมายความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้นรวมถึงความกังวลของผู้บริโภค ซึ่ง PEC ใช้เทคนิคการป้องกันความเป็นส่วนตัวที่หลากหลายเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลออกมาใช้ได้อย่างมีคุณค่าและยังปฏิบัติตามข้อกำหนด

การ์ทเนอร์คาดว่า ภายในปี 2568 องค์กรขนาดใหญ่ 60% จะใช้เทคนิคของ Privacy-Enhancing Computation อย่างน้อยหนึ่งเทคนิคเพื่อการวิเคราะห์ หรือใช้ในธุรกิจอัจฉริยะ หรือเพื่อการประมวลผลบนคลาวด์ 

"ภาคบริการทางการเงินที่ข้อมูลถือว่ามีบทบาทอย่างมากในการวิเคราะห์ การคำนวณ และการสร้างรายได้ มีการนำเทคนิค PEC มาใช้เพิ่มขึ้น อาทิ ใช้วิเคราะห์การฉ้อโกง ดำเนินการด้านข่าวกรอง แบ่งปันข้อมูล และต่อต้านการฟอกเงิน"