"Happenn" พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดึง ‘อีเวนท์’ สู่โลกเสมือนจริง
Happen บริษัทช่วยจัดการงานอีเวนท์ อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงาน Startup Thailand x ITE 2020 อีเวนท์สำคัญประจำปีของเหล่าวงการสตาร์ทอัพ ที่จัดในรูปแบบเสมือนจริง Virtual World ครั้งแรกของประเทศ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศผ่านพ้นจากวิกฤติโควิด-19
ซึ่งทำให้มียอดผู้เข้าชมงานผ่านเว็บไซต์กว่า 190,000 ครั้ง ตลอด 4 วันงาน ทั้งการันตีฝีไม้ลายมือด้วยรางวัลระดับประเทศหลายรางวัล เช่น Asia Pacific ICT Alliance Awards และ Asia Pacific ICT Awards ล่าสุดผลงานนวัตกรรม “นิวนอร์มอลสื่อสารรูปแบบอีเวนต์บนโลกเสมือนจริง (Happenn New Normal Virtual Event)” คว้าชนะเลิศด้านสื่อและการสื่อสารประเภทผลงานนวัตกรรมสื่อและการสื่อสาร รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2563 โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือเอ็นไอเอ
ชูโรง ‘นวัตกรรม’ สื่อสร้างสรรค์
ในงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์ฯ Happenn ได้สร้างโลกเสมือนจริงบนเว็บไซต์หลัก เริ่มตั้งแต่โถงทางเข้างานที่จำลองตึกจริงของเอ็นไอเอ เสมือนผู้ร่วมงานได้เดินเข้างานอีเวนท์จริง เมื่อผ่านประตูเข้ามาก็ถึงส่วนที่จำลองบรรยากาศโถงรับรอง ซึ่งจะได้เห็นห้องต่างๆ ทั้งห้องประชุม ห้องนิทรรศการ ห้องจับคู่ธุรกิจ ให้เลือกชมตามความสนใจ
สตาร์ทอัพสายอีเวนท์นี้เป็นต้นแบบการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ ที่สามารถพลิกวิกฤติในช่วงโควิด-19 ให้กลายเป็นโอกาสใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยต่อยอดจาก “ทุนเดิม” เน้นความเป็นออนไลน์ เช่น การทำเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นงานอีเวนท์ ระบบการจับคู่ทำธุรกิจ ทำให้ทุกอย่างสามารถรันได้อย่างเป็นระบบ
ณัฐพร สุชาติกุลวิทย์ CEO/Co-founder บริษัท เดอะ ไวท์ เลเบิลส์ จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม “แฮปเพิน (Happenn)” เปิดเผยว่า Happenn Virtual สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารยุคนิวนอร์มอลผ่านระบบ “อีเวนท์เสมือนจริง” หรือ Virtual Event ทำให้สามารถสื่อสารกันเสมือนจริงอย่างไร้ขีดจำกัด ตอบสนองความต้องการในการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก แถมยังช่วยให้มีการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้สามารถแบ่งเป็น 4 ส่วนหลักด้วยกัน ได้แก่ 1.ระบบรับชมอีเวนต์ออนไลน์ ที่สามารถสร้างเว็บไซต์ และแอพพลิเคชั่นด้วย CMS เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายด้วยระบบที่สร้างง่ายๆเพียง 5 นาที เนื่องจาก Happenn มีระบบซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเองทำให้สามารถครีเอตอีเวนต์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพียงแค่ Drag & Drop ทั้งรองรับการลงทะเบียนทุกประเภทและสามารถใช้งานได้ทุกที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เมื่อไร หรือบน Devices ใดก็สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
2.ระบบ Virtual Engagement สร้างสีสันการสื่อสารด้วย Two-Way Communication ผ่านระบบการแชท โหวต เล่นเกม Lucky Draw หรือส่งคำถามส่วนตัวไปยังวิทยากรแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชมได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
3.Virtual Business Matching สื่อสารและสร้างโอกาสทางธุรกิจอย่างไร้ขีดจำกัดได้ทั่วโลก ผ่านระบบจับคู่ธุรกิจที่คัดกรองผู้ร่วมงานให้พบกันบนโลกออนไลน์และต่อยอดสู่การสร้างยอดขาย ด้วยการเชื่อมต่อระบบอีคอมเมิร์ซ พร้อมให้คำปรึกษาทางธุรกิจโดยผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
4.ระบบแบบสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะบอกได้ว่าในงานอีเวนต์นี้ยูสเซอร์อยู่ที่ห้องใด กำลังดูคอนเทนต์อะไรอยู่ และทุกเซสชั่นสามารถวัดผลได้ ทำให้การสื่อสารดีขึ้นและวัดผลการรวบรวมข้อมูลการใช้งานและการสื่อสารต่างๆ มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานบน Virtual เป็นการบูรณาการและการวัดผลด้าน Virtual Communication ซึ่งจะทำให้การสื่อสารครั้งต่อไปจะดีขึ้น
"โมเดลธุรกิจของ Happenn เป็นในรูปแบบ B2B ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคอร์ปอเรท ออแกไนซ์ และเอเจนซี่ ส่วนผู้ใช้งานหรือยูสเซอร์จะหลากหลายมีทั้งพนักงาน นักศึกษาและเจ้าของกิจการ ขณะที่แพลตฟอร์มแฮปเพินสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สวีเดน แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ทำให้ผลประกอบการในช่วงโควิด 4 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่า 100% มียูสเซอร์องค์กรใช้บริการกว่า 70 ครั้ง รวมกว่า 1,500 Session มีผู้ใช้งานรวมกว่า 45,000 ราย มีการสนทนาบนโลกเสมือนจริงกว่า 800,000 ครั้ง" ณัฐพร กล่าว
ทั้งนี้แม้สถานการณ์ดีขึ้น อีเวนท์จะจัดได้เกือบจะเหมือนเดิมแต่จะมีมาตรการป้องกันต่างๆ มากขึ้นเช่นกัน ประกอบกับมีการจัดรูปแบบออนไลน์ที่ควบคู่กัน เพราะอีเวนท์จริงๆ อาจจุจำนวนคนได้ไม่มาก แต่โลกออนไลน์สามารถรวมคนเป็นหมื่นเป็นแสนในเวลาเดียวกัน ณัฐพร กล่าวว่า Happenn จะปรับเปลี่ยนรูปแบบอีเวนท์ออนไลน์ใช้ร่วมกันกับงานที่เป็นรูปแบบออฟไลน์ที่มีผู้ร่วมงานจริงได้ โดยจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้การเข้าถึงงานทำได้ง่ายขึ้น จากทั่วทุกมุมโลก ในรูปแบบของไฮบริดอีเวนท์ หรือ ออนไลน์อีเวนท์ ที่จะเป็น next normal หรือเทรนด์ของการจัดงานในอนาคต
ปลดล็อกสู่โลกออนไลน์
ด้วยข้อดีของ Virtual Event ที่เห็นได้ชัดคือช่วยประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะค่าสถานที่ ในขณะที่ยังสามารถดึงคนเข้างานได้จำนวนมากจากทั่วทุกมุมโลก เก็บข้อมูลและวัดผลจากการจัดงานได้ชัดเจน อีกทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และยังออกแบบเชื่อมโยงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อสร้างยอดขายได้ทันที
“เรามีระบบแบบสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นเอง ที่จะบอกได้ว่าในงานอีเวนท์นี้ยูสเซอร์อยู่ที่ห้องใด กำลังดูคอนเทนท์อะไรอยู่ และทุกเซกชั่นสามารถวัดผลได้ ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลการใช้งานและการสื่อสารต่างๆ มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานบน Virtual เป็นการบูรณาการ และการวัดผลด้าน Virtual Communication ดังนั้น ผู้จัดงานจึงสามารถนำข้อมูลเหล่านั้น ไปใช้วิเคราะห์และปรับปรุงการจัดงานในครั้งต่อไป ข้อมูลเหล่านี้จะมีความแม่นยำมากกว่าการรวบรวมข้อมูลแบบอื่นๆ อีกด้วย”
ที่สำคัญการจัดงานแบบในลักษณะนี้ยังช่วยให้ผู้ประกอบการทุกระดับมีศักยภาพสามารถจัดงานแสดงสินค้าของตัวเอง จึงทำให้มีการคาดการณ์ว่าไว้อีก 2 ปีข้างหน้า การจัดงานอีเวนต์ออนไลน์บนโลกเสมือนจริง ยังคงโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นปีนี้ Happenn เติบโตกว่าเท่าตัว และคาดว่าในปีถัดไปจะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว
“ในฐานะที่เราเป็นมีเดียเทคตรงส่วนนี้มองว่า ประเทศไทยเปิดกว้างไม่ว่าจะเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ มีการเปิดรับและเริ่มใช้แพลตฟอร์มจนเกิดความคุ้นเคย เรามองว่าความไม่ไม่เข้าใจในเรื่องของไอทีจะน้อยลง แต่ข้อจำกัดยังมีอยู่บ้างเช่น บางอีเวนต์ผู้คนยังคงคุ้นเคยกับการจัดงานแบบเดิม ดังนั้นเราจึงมีการสร้างความอุ่นใจในการใช้งานให้กับลูกค้าเพื่อประสิทธิภาพที่สามารถวัดได้จริงจากผลงานที่ปรากฏ”