’ไมโครซอฟท์-ไอดีซี’ ชี้ดิจิทัลไทยล้าหลัง 3 ปี
ผู้นำองค์กรไทยชูเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นสองมิติสำคัญที่จะลงทุนในปีหน้า
ผลสำรวจโดย “ไมโครซอฟท์” และบริษัทวิจัย “ไอดีซี” เผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ภาคธุรกิจไทยเร่งยกระดับการสร้างสรรค์นวัตกรรมภายในองค์กรขึ้นราว 12%
ขณะเดียวกัน มีการวางแผนที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนพัฒนาศักยภาพในปีหน้า โดยกว่า 72% ขององค์กรในไทยที่เข้าร่วมการสำรวจ มองว่าท่ามกลางผลกระทบและแรงกดดันจากการระบาดของโรค การสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการฟื้นฟูธุรกิจให้เปลี่ยนแปลง ปรับตัว และกลับมาเติบโตอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทัศนคติเกี่ยวกับนวัตกรรมในภาคธุรกิจไทยยังคงตามหลังมุมมองขององค์กรระดับแนวหน้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่กว่า 98% เชื่อว่านวัตกรรมเป็นหัวใจสำคัญในการฝ่าสถานการณ์วิกฤติ
องค์กรไทยยังตามหลัง
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นวัตกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกองค์กรขาดไม่ได้ สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ทั่วโลกกลายเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคธุรกิจต้องหันมาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จากเดิมอาจต้องใช้เวลาหลายปี ให้เสร็จสิ้นและพร้อมขับเคลื่อนได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน
ผลสำรวจระบุว่า ภาคธุรกิจไทยได้แสดงออกถึงความตื่นตัวในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องเร่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงจากผลสำรวจที่ระบุว่า ธุรกิจไทยจะมีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่ 48% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเทียบเท่ากับสัดส่วนรายได้ในปัจจุบันขององค์กรชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก จึงเท่ากับว่าองค์กรไทยในภาพรวมยังตามหลังผู้นำของภูมิภาคนี้อยู่ 3 ปีเต็มนั่นเอง
อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและศักยภาพขององค์กรเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยแนวทางที่ชัดเจนเพื่อให้เกิดผลอย่างชัดเจน ผลสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ยังมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยที่เพิ่งจะเริ่มต้นคำนึงถึงการสร้างนวัตกรรมภายในองค์กร
แต่ทั้งนี้ได้เห็นสัญญาณที่ดีในภาพรวมว่าองค์กรไทย ซึ่งครั้งนี้มีผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจ 200 คน และพนักงาน 237 คนในไทยร่วมทำการสำรวจ เข้าใจในจุดแข็งจุดอ่อนของตนเองและมีแผนที่จะลงทุนเพื่อปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพต่อไปโดยผู้นำองค์กรในไทยวางเรื่องเทคโนโลยีและข้อมูลเป็นสองมิติสำคัญที่จะลงทุนพัฒนาในปีหน้า
’โควิด-19’ มาพร้อมโอกาส
ไมเคิล อะราเน็ตตา รองประธานบริหาร ไอดีซี ไฟแนนเชียล อินไซต์ เผยถึงผลสำรวจว่า ธุรกิจในประเทศไทยได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองในการทำงานไปไม่น้อยในช่วง 6 เดือน ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19
โดยองค์กรไทยราว 40% มองว่าโควิด-19 มาพร้อมกับโอกาสในการผลักดันรายได้ให้เติบโตได้เร็วกว่าคู่แข่งจนนำไปสู่ส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น องค์กรที่มีมุมมองเชิงบวก เล็งเห็นโอกาสท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ จะสามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรมนวัตกรรม
เขากล่าวว่า ช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 มีธุรกิจไทยถึง 59% ที่จัดอยู่ในกลุ่มองค์กรแบบเก่า ก่อนจะลดลงเหลือ 48% ในช่วงหลังการระบาด ขณะที่สัดส่วนขององค์กรในกลุ่มมือใหม่เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 47% และจากเดิมที่ไม่มีธุรกิจไทยอยู่ในกลุ่มผู้นำเลย เพิ่มขึ้นเป็น 2% ในช่วงหลังการระบาด เมื่อสรุปในภาพรวมแล้ว พบว่าธุรกิจในประเทศไทยมีการยกระดับวัฒนธรรมองค์กรด้านนวัตกรรมขึ้นราว 12%”
ทั้งนี้ องค์กรในกลุ่มผู้นำด้านวัฒนธรรมเพื่อนวัตกรรมมีมุมมองเชิงธุรกิจที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นอยู่ไม่น้อย โดย 1 ใน 3 ของบริษัทระดับผู้นำในภูมิภาคนี้มั่นใจว่าจะสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดของบริษัทได้ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากโรคโควิด-19